บล็อกเกอร์นี้จัดทำขึ้นโดยมีจุดประสงค์เพื่อที่จะใช้ในการเรียนในรายวิชาอินเตอร์เน็ตและการสื่อสารในชีวิตประจำวัน มหาวิทยาลัยมหาสารคาม

วันจันทร์ที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2554

ความหมายของการเมืองการปกครอง

               การเมืองเป็นเรื่องเกี่ยวกับวิธีการได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองและการบริหารราชการแผ่นดิน และการใช้อำนาจที่ได้มาเพื่อสร้างความผาสุกให้แก่ประชาชน ส่วนการปกครองเป็นการทำงานของ เจ้าหน้าที่ของรัฐ ซึ่งจะดำเนินการตามกฎหมายและนโยบายที่รัฐมอบให้ดำเนินการ โดยมุ่งที่จะสร้าง ความผาสุก ความเป็นระเบียบ ความสงบเรียบร้อยให้เกิดขึ้นในสังคมภายใต้รูปแบบการปกครองแบบ ประชาธิปไตยและแบบเผด็จการ


สาระการเรียนรู้          
          1. ความรู้เกี่ยวกับรัฐ               
               - รัฐและการจัดระเบียบการปกครองภายในรัฐ
               - องค์ประกอบของรัฐ
               - รูปแบบของรัฐ
               - ประเภทของรัฐ
               - วัตถุประสงค์ของรัฐ
               - หน้าที่ของรัฐ
               - การจัดระเบียบการปกครองภายในรัฐ
               - หลักการใช้อำนาจในการปกครอง
               - แผนผังแสดงการจัดระเบียบราชการแผ่นดินของไทยในปัจจุบัน
          2. ระบอบประชาธิปไตย          
          3. ระบอบเผด็จการ

ความรู้เกี่ยวกับรัฐ          
          มนุษย์อยู่ร่วมกันโดยเริ่มจากการอยู่ด้วยกันในลักษณะสังคมที่เล็กที่สุด ตั้งแต่ขนาดครอบครัวหลาย ๆ ครอบครัวรวมกันในรูปของเผ่า เมื่อสมาชิกของสังคมเพิ่มมากขึ้น สังคมก็ขยายตัวออกไปทั้งในด้านจำนวนและบริเวณที่ตั้งสังคม  จากเผ่ากลายเป็นนครรัฐและไปเป็นชาติ เป็นรัฐหรือประเทศ เป็นอาณาจักร เป็นจักรวรรดิ  การแบ่งกลุ่มคนหรือสังคมเป็นประเทศ คำที่ใช้ในการสื่อความหายคือคำว่า รัฐ ซึ่งบ่งบอกถึงสถานะนิติบุคคล ของประเทศ ในทางความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ประเทศต่าง ๆ มีฐานะเป็นรัฐในสังคมนานาชาติโดยเท่าเทียมกัน ไม่ว่าขนาดของประเทศหรือรัฐจะแตกต่างกันหรือไม่ก็ตาม โดยปกติคำว่า รัฐและประเทศมีความหมายคล้ายกันรัฐและการจัดระเบียบการปกครองภายในรัฐ           ในการกล่าวถึงคำว่า รัฐ ผู้กล่าวถึงอาจใช้คำว่า รัฐ ในความหมายแตกต่างกันไปตามที่ผู้ใช้ต้องการจะหมายถึง ได้แก่
          1. รัฐ หมายถึง รัฐบาล หรือกลุ่มบุคคลที่ดำรงตำแหน่งที่มีอำนาจในการตัดสินใจในกิจการต่าง ๆ ของประเทศ
          2. รัฐ หมายถึง ระบบราชการ ซึ่งมีอำนาจหน้าที่ดำเนินกิจการต่าง ๆ ของประเทศตามที่กฎหมายกำหนด
          3. รัฐ หมายถึง ชนชั้นที่มีอำนาจปกครองเหนือชนชั้นอื่นที่อยู่ภายในดินแดนนั้น
          4. รัฐ หมายถึง องค์การอิสระที่มีอำนาจกำหนดบรรทัดฐานทางสังคมให้กลุ่มชนหรือประชาชนต่าง ๆ ยึดถือและปฏิบัติตาม
          5. รัฐ หมายถึง ดินแดนหรือประเทศเอกราชที่มีอำนาจในการดำเนินความสัมพันธ์กับประเทศเอกราชอื่นในประชาคมระหว่างประเทศ
          จากความหมายต่าง ๆ ของรัฐที่กล่าวมานี้ เราอาจให้ความหมายของรัฐโดยรวมได้ว่า รัฐ หมายถึง ประเทศที่มีรัฐบาลเป็นผู้ใช้อำนาจอธิปไตยเหนือประชากร ภายในดินแดนของตนอย่างเป็นอิสระไม่ขึ้นแก่ใคร 


ความหมายของรัฐ         
          รัฐ หมายถึง กลุ่มคนที่รวมกันอยู่ในดินแดนอันมีอาณาเขตแน่นอน และมีรัฐบาลซึ่งมีอำนาจอธิปไตยหรืออำนาจสูงสุดในการดำเนินกิจการของรัฐในประเทศและนอกประเทศโดยอิสระ ดังนั้นรัฐจึงเป็นสังคมที่มีการจัดองค์กรทางการเมืองแตกต่างจากการรวมตัวกันเป็นสังคมแบบธรรมดา ๆ ความหมายของรัฐเน้นในเรื่องการเมือง คือ มีการจัดองค์กรในรูปแบบที่ว่า มีคนจำนวนหนึ่งเป็นผู้ปกครองมีอำนาจเหนือกลุ่มคนทั้งหมด อำนาจของผู้ปกครองนี้อาจได้มาด้วยการใช้กำลัง หรือความยินยอมมอบให้ หรือการยอมรับของคนที่อยู่ในสังคมนั้นทางใดทางหนึ่งก็ได้ คำว่า รัฐ นี้อาจให้ความหมายโดยสมบูรณ์ว่า รัฐประชาชาติ ก็ได้
          เมื่อพิจารณาความหมายของคำว่า รัฐ แล้ว จะเห็นได้ว่า จุดประสงค์สำคัญในการมีรัฐ คือความปรารถนาของคนที่จะมีชีวิตที่มีความสมบูรณ์ อันได้แก่ การมีเสรีภาพ มีโอกาสอันเท่าเทียมกัน มีความเจริญก้าวหน้า มีโอกาสพัฒนาด้านสติปัญญา  ความสามารถและบุคลิกภาพ มีศักดิ์และสิทธิ์ที่จะเป็นเจ้าของประเทศ


องค์ประกอบของรัฐ         
           การจัดว่าสังคมเป็นรัฐ หรือรัฐประชาชาติ ตามที่เรียกกันในปัจจุบันนั้น ต้องมีองค์ประกอบ 4 ประการ จะขาดประการใดประการหนึ่งไม่ได้ แต่ละองค์ประกอบมีสาระสำคัญ ดังต่อไปนี้
          1. ประชากร รัฐจะต้องมีจำนวนประชากรจำนวนหนึ่ง ไม่มีการกำหนดไว้ว่ารัฐหนึ่งควรมีประชากรเท่าใด แต่หากรัฐใดมีประชากรน้อยเกินไปก็ยากที่จะคงไว้ซึ่งเอกราชของตนเอง โดยเหตุนี้จำนวนประชากรของแต่ละรัฐอาจจะแตกต่างกันมาก เช่น สาธารณรัฐประชาชนจีน มีประชากรประมาณ 1,288 ล้านคน ในขณะที่ประเทศนาอูรู และตูวาลู ซึ่งอยู่ในแถบโอเชียเนีย มีประชากรเพียง 1 หมื่นคนเศษเท่านั้น ประชากรภายในรัฐไม่จำเป็นต้องมีเชื้อชาติเดียวกัน เช่น สหพันธรัฐรัสเซีย มีชนเชื้อชาติต่าง ๆ มากกว่าร้อยเชื้อชาติ ภาษาที่ใช้ในรัฐก็ไม่จำเป็นต้องมีภาษาเดียวกัน เช่น สาธารณรัฐอินเดียมีภาษาที่ใช้มากกว่าร้อยภาษา ประชากรที่อยู่ในรัฐเดียวกันก็อาจมีวัฒนธรรม ประเพณี ความเชื่อที่แตกต่างกันก็ได้
          2. ดินแดน รัฐต้องมีดินแดนที่ตั้งหรือมีอาณาเขตที่แน่นอน จะมีขนาดใหญ่หรือเล็กก็ได้ เช่น สหพันธรัฐรัสเซียมีพื้นที่มากกว่า 17 ล้านตารางกิโลเมตร ในขณะที่สาธารณรัฐสิงคโปร์มีพื้นที่เพียง 600 ตารางกิโลเมตรเศษเท่านั้น หมู่คนที่เร่รอนไม่ปักหลักหากินเป็นถิ่นฐานแน่นอน เช่น พวกยิปซีในสมัยก่อนถือว่าไม่ได้อยู่ร่วมกันในลักษณะของรัฐ โดยปกติอาณาเขตของรัฐมักติดต่อกัน แต่ไม่ได้เป็นเช่นนั้นเสมอไป เช่น มลรัฐอะแลสกาของสหรัฐอเมริกามีพื้นที่ไม่ติดกับมลรัฐอื่น ๆ ของสหรัฐอเมริกา เพราะมีประเทศแคนาดาคั่นอยู่ เป็นต้น
         

           3. รัฐบาล รัฐจำเป็นต้องมีหน่วยงานที่ทำหน้าที่ปกครองบริหารซึ่งเรียกว่า รัฐบาล เป็นผู้ทำหน้าที่คุ้มครองรักษาความสงบภายใน ป้องกันการรุกรานจากภายนอก จัดการทางเศรษฐกิจ และการบำบัดทุกข์บำรุงสุขของประชากรที่อาศัยอยู่ในรัฐ รวมทั้งการดำเนินกิจการของรัฐในทางการเมืองระหว่างประเทศด้วย
          4. อธิปไตย สังคมที่จะเป็นรัฐประชาชาติโดยสมบูรณ์ได้ต้องมีอธิปไตย คือมีอำนาจเด็ดขาดและเต็มที่ที่จะบัญญัติ บังคับและตัดสินคดีความตามกฎหมายให้ประชาชนของรัฐของตน และสามารถที่จะดำเนินกิจการภายในหรือภายนอกประเทศโดยอิสระ ไม่ถูกควบคุมหรือบงการโดยรัฐอื่น ถ้าหากว่ารัฐใดขาดอธิปไตยแล้ว ถือว่ารัฐนั้น ไม่มีเอกราชโดยแท้จริง
         ในบรรดาองค์ประกอบทั้ง 4 อย่างนี้ อำนาจอธิปไตยเป็นองค์ประกอบที่สำคัญที่สุดของรัฐ ความเป็นรัฐจะสิ้นสุดลงทันทีเมื่อรัฐนั้นตกไปอยู่ใต้การปกครองของรัฐอื่น ไม่ว่าจะเป็นเพราะแพ้สงครามหรือรวมตัวกับรัฐอื่นก็ตาม ด้วยเหตุนี้นักรัฐศาสตร์จึงไม่ถือว่ารัฐนิวยอร์กของสหรัฐอเมริกา หรือรัฐโอริสสาของอินเดีย หรือรัฐบาวาเรียของ เยอรมันนี มีสภาพเป็น รัฐ ทั้งนี้ก็เพราะรัฐดังกล่าวไม่มีอำนาจอธิปไตยเป็นของตนเอง และอยู่ภายใต้การควบคุมของรัฐบาลกลางของประเทศนั้น ๆ จึงมีผู้เรียกรัฐที่เป็นองค์ประกอบของรัฐใหญ่หรือสหพันธรัฐว่า มลรัฐ
          ขณะเดียวกัน รัฐ กับ ประเทศ ก็ไม่ใช่สิ่งเดียวกันเสมอไป ทั้งนี้เพราะคำว่า ประเทศ อาจหมายถึง ดินแดนที่ยังไม่เป็นเอกราชก็ได้ ตัวอย่างเช่น ประเทศเวียดนาม ลาว และกัมพูชา ก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 ประเทศเหล่านี้ยังไม่มีฐานะเป็นรัฐ เนื่องจากอยู่ภายใต้การปกครองของฝรั่งเศส และยังไม่มีอำนาจอธิปไตยหรืออำนาจปกครองเป็นของตนเอง


รูปแบบของรัฐ         
          รัฐ หรือรัฐประชาชาติ โดยทั่วไปมี 2 รูปแบบ คือ รัฐเดี่ยว กับรัฐรวม         
         1. รัฐเดี่ยว เป็นรัฐที่มีรัฐบาลเพียงรัฐบาลเดียวเป็นผู้ใช้อำนาจอธิปไตยปกครองอาณาเขต หรือดินแดนทั้งหมด ประชาชนที่อยู่ในรัฐถือว่าอยู่ภายใต้รัฐบาลเดียวกัน รัฐอาจจะจัดระบบการปกครองให้มีหน่วยปกครองระดับรองกระจายอยู่ตามส่วนต่าง ๆ ของรัฐ เพื่อให้บริการหรือให้ความสะดวกแก่คนในรัฐ รัฐเดี่ยวนี้แม้จะมีการจัดตั้งหน่วยงานปกครองท้องถิ่น เพื่อให้คนในท้องถิ่นมีส่วนร่วมในการปกครอง หรือดำเนินการพัฒนาด้านต่าง ๆ ในท้องถิ่น แต่ก็เป็นรูปแบบของการปกครองตนเอง หน่วยการปกครองท้องถิ่นนั้น ๆ ยังต้องอยู่ภายใต้กฎหมายที่ตราขึ้นมาจากส่วนกลาง คือ การปกครองส่วนท้องถิ่น ต้องมีรัฐบาลกลางเป็นผู้ควบคุม การปกครองตนเองจะมีอำนาจมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับรัฐบาลแห่งชาติว่ามีความต้องการกระจายอำนาจเพียงใด กล่าวคือ อำนาจอธิปไตยมีศูนย์รวมอยู่ที่รัฐบาลในส่วนกลาง จึงทำให้การดำเนินงานของรัฐไม่ว่าจะเป็นการวางนโยบายหรือการบริหารต้องขึ้นอยู่กับการกำหนดและควบคุมดูแลของรัฐบาลกลางเป็นหลัก การปกครองแบบนี้มักเกิดขึ้นในประเทศที่มีอาณาเขตไม่กว้างขวางมาก ท้องถิ่นมีลักษณะไม่ต่างกันมาก และประชาชนในรัฐมีความเกี่ยวข้องผูกพันกันในทางประวัติศาสตร์ เช่น ไทย ฝรั่งเศส ซาอุดีอาระเบีย สิงคโปร์ เป็นต้น
          2. รัฐรวม รัฐประเภทนี้ได้แก่ การที่รัฐอย่างน้อย 2 รัฐมารวมกันเป็นรัฐเดียว โดยแบ่งการใช้อำนาจอธิปไตยออกเป็นสัดส่วน มีรัฐบาล 2 ระดับ ได้แก่ รัฐบาลกลาง กับรัฐบาลท้องถิ่น รัฐบาลทั้ง 2 ระดับต่างมีอำนาจหน้าที่ของตนโดยบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ โดยทั่ว ๆ ไป รัฐบาลกลางของรัฐรวมจะใช้อำนาจอธิปไตยในส่วนที่เกี่ยวกับผลประโยชน์ของรัฐทั้งหมด หรือผลประโยชน์อันเป็นส่วนรวมของรัฐ เช่น การติดต่อกับต่างประเทศ การรักษาความมั่นคงของชาติ การเงินและการคลัง เป็นต้น ส่วนรัฐบาลท้องถิ่นมีอำนาจในการดำเนินกิจการอันเกี่ยวข้องกับท้องถิ่นโดยเฉพาะ เช่น การจัดการศึกษา การรักษาความสงบภายใน การรักษาสุขภาพของประชาชนเป็นต้น รัฐรวมประกอบด้วยหลาย ๆ รัฐเข้ามารวมกันเป็นรัฐประชาชาติใหญ่ เรียกว่า สหพันธรัฐ เช่น สหรัฐอเมริกา ประกอบด้วยมลรัฐต่าง ๆ ถึง 50 มลรัฐ สาธารณรัฐเยอรมนี มีรัฐต่าง ๆ รวมกันถึง 16 รัฐ เป็นต้น รัฐธรรมนูญของรัฐรวมหรือสหพันธรัฐแบ่งแยกอำนาจของรัฐบาลกลางและรัฐบาลท้องถิ่นออกจากกันอย่างเด่นชัดว่า รัฐบาลใดมีขอบเขตของอำนาจหน้าที่อย่างไร ทั้งนี้เพื่อป้องกันความขัดแย้งอันอาจจะเกิดขึ้นได้ ปกติรัฐที่มีการปกครองแบบรัฐรวม มักจะเป็นรัฐหรือประเทศใหญ่ มีอาณาเขตกว้างขวาง มีภูมิประเทศและสภาพท้องถิ่นไม่เหมือนกัน เช่น สหพันธรัฐรัสเซีย ออสเตรเลีย บราซิล สหรัฐอเมริกา แคนาดา อินเดีย เป็นต้น


ประเภทของรัฐ
          รัฐเอกราชที่เป็นสมาชิกขององค์การสหประชาชาติปัจจุบันมีทั้งสิ้น 191 รัฐ รัฐทั้งหมดนี้มีความแตกต่างกันทั้งเนื้อที่ จำนวนประชากร ลักษณะการปกครอง และลักษณะเศรษฐกิจ อาจจำแนกประเภทของรัฐได้ตามลักษณะการปกครอง ลักษณะเศรษฐกิจ และลักษณะของฐานอำนาจได้ ดังนี้
          1. การจำแนกประเภทของรัฐตามลักษณะการปกครอง ลักษณะการปกครอง หมายถึง รูปแบบการเมืองการปกครองของรัฐ โดยพิจารณาจากการที่ประชาชนเข้าไปมีส่วนร่วมทางด้านการเมืองการปกครอง ซึ่งจำแนกได้ 2 ลักษณะ คือ
               1.1 รัฐประชาธิปไตย เป็นระบอบการปกครองที่ให้โอกาสประชาชนได้มีส่วนร่วมในการปกครองตนเอง เช่นสหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น ฝรั่งเศส อินเดีย ไทย เป็นต้น
               1.2 รัฐเผด็จการ เป็นระบอบการปกครองที่ประชาชนเข้าไปมีส่วนร่วมในการปกครองน้อยมากหรือไม่มีเลย อำนาจในการปกครองมาจากคนหรือคณะบุคคล เช่น พม่า เกาหลีเหนือ เป็นต้น
          2. การจำแนกประเภทของรัฐตามลักษณะเศรษฐกิจ ลักษณะเศรษฐกิจ หมายถึง รูปแบบการจัดระบบเศรษฐกิจของรัฐ ซึ่งจำแนกได้ 2 ลักษณะ คือ
               2.1 รัฐทุนนิยม เป็นระบบเศรษฐกิจที่ให้โอกาสประชาชนในการดำเนินการผลิต การจำหน่าย และให้กลไกตลาดเป็นผู้กำหนดราคาสินค้า รัฐไม่เข้าไปแทรกแซงหรือแข่งขัน  ยกเว้น กิจการบางอย่างที่เป็นสาธารณะเพื่อประชาชนส่วนใหญ่  รัฐอาจเข้าไปดำเนินการเพื่อให้ประชาชนได้ประโยชน์มากขึ้น เช่น การคมนาคมขนส่งและการสื่อสาร การบริการน้ำสะอาด ไฟฟ้า และสาธารณูปโภคอื่น ๆ เป็นต้น ประเทศที่มีลักษณะเศรษฐกิจแบบนี้ เช่น สหรัฐอเมริกา ออสเตรเลีย สหราชอาณาจักร สิงคโปร์ ญี่ปุ่น เป็นต้น
               2.2 รัฐสังคมนิยม เป็นระบบเศรษฐกิจที่รัฐเป็นผู้ประกอบการทั้งหมด คือ การดำเนินการผลิต การจำหน่าย การกำหนดราคา ประชาชนมีส่วนร่วมในฐานะเป็นลูกจ้างของรัฐและเป็นผู้บริโภคเท่านั้น ประเทศที่มีลักษณะเศรษฐกิจแบบนี้ เช่น สาธารณรัฐประชาชนจีน เกาหลีเหนือ คิวบา ลิเบีย เป็นต้น
          3. การจำแนกประเภทของรัฐตามลักษณะของฐานอำนาจ ลักษณะของฐานอำนาจ หมายถึง ปัจจัยที่ส่งเสริมความมีอำนาจของรัฐที่สำคัญ เช่น ขนาดของเนื้อที่ จำนวนประชากร ทรัพยากร กำลังทหาร และศักยภาพของอาวุธยุทโธปกรณ์ หากรัฐมีปัจจัยดังกล่าวอยู่มากก็ส่งเสริมให้มีอำนาจมาก อาจแบ่งอำนาจของรัฐได้ 3 ลักษณะดังนี้
               3.1 รัฐมีอำนาจน้อย เป็นรัฐที่มีเนื้อที่ขนาดเล็ก ประชากรน้อย มีทรัพยากรจำกัด เช่น สิงคโปร์ กัมพูชา เป็นต้น
               3.2 รัฐมีอำนาจปานกลาง เป็นรัฐขนาดกลาง ทั้งด้านเนื้อที่และประชากร โดยมีทรัพยากรสนองความต้องการของประชากรได้อย่างเพียงพอ เช่น ไทย สเปน เดนมาร์ก ฟิลิปปินส์ เป็นต้น
               3.3 รัฐมีอำนาจมาก เป็นรัฐตามเกณฑ์ที่มีเนื้อที่มาก มีประชากรมาก มีทรัพยากรหลากหลาย มีศักยภาพทางเศรษฐกิจสูง มีความเข้มแข็งทางยุทธศาสตร์การทหาร เช่น สหรัฐอเมริกา สหพันธรัฐรัสเซีย สาธารณรัฐประชาชนจีน สหราชอาณาจักร และฝรั่งเศส เป็นต้น
          การจำแนกประเภทของรัฐตามลักษณะดังกล่าวอาจเปลี่ยนแปลงได้ทั้งทางด้านการปกครอง เศรษฐกิจและฐานอำนาจ การศึกษาเรื่องของรัฐจึงให้ความสำคัญเกี่ยวกับหน้าที่ของรัฐตามลักษณะการจัดระเบียบการปกครองของรัฐมากกว่าประเภทของรัฐ


วัตถุประสงค์ของรัฐ
          รัฐจะต้องดำเนินการให้ประชาชนของรัฐมีคุณภาพชีวิตที่ดี ด้วยการสร้างความเป็นระเบียบ การสร้างคุณธรรม การจัดให้มีสวัสดิการสาธารณะ และการสร้างความเจริญก้าวหน้าและความมั่นคง
          1. สร้างความเป็นระเบียบ ความเป็นระเบียบเป็นรากฐานของความสงบเรียบร้อยของสังคมโดยทั่วไป และเป็นปัจจัยสำคัญที่จะก่อให้เกิดผลดีแก่ประชาชน เมื่อสังคมมีความเป็นระเบียบทำให้สมาชิกมีโอกาสใช้อำนาจที่ถูกต้อง ชอบธรรมหรือใช้สิทธิของตนได้ ความเป็นระเบียบทำให้เกิดเสรีภาพ คือ ความอิสระที่ประชาชนจะทำสิ่งใด ๆ ได้ โดยไม่ละเมิดสิทธิของผู้อื่น เพราะเสรีภาพจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อรัฐนั้นมีความเป็นระเบียบเรียบร้อย มีหลักมีเกณฑ์ และทุกคนมีความรับผิดชอบที่จะควบคุมการกระทำของตน มิให้กระทบกระเทือนต่อสิทธิและเสรีภาพของผู้อื่น นอกจากนี้ความเป็นระเบียบยังทำให้เกิดความเสมอภาค คือความเท่าเทียมกันของประชาชน เพราะความมีระเบียบยังทำให้เกิดความเสมอภาคกันในระหว่างคนในชาติ
          2. สร้างคุณธรรม คุณธรรม คือ สิ่งที่ทำให้คนแตกต่างจากสัตว์ประเภทอื่น เพราะคุณธรรมทำให้คนมีความรักความเมตตาต่อเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน รัฐจึงต้องเสริมสร้างและส่งเสริมให้ประชาชนมีคุณธรรม ศีลธรรม หรือจริยธรรมในหลักศาสนา ซึ่งมีส่วนช่วยสร้างเสริมเพิ่มพูนคุณงามความดีให้กับบุคคลเพื่อให้อยู่ร่วมกันด้วยความสงบเรียบร้อย มีความเป็นระเบียบ ปลอดภัย และทำให้เกิดสันติสุข
          3. บริการสาธารณะ กิจการอันเป็นสวัสดิการสาธารณะด้านต่าง ๆ ซึ่งประชานได้รับประโยชน์ในการใช้บริการร่วมกัน เช่น เส้นทางคมนาคมขนส่ง ไฟฟ้า น้ำสะอาด เป็นต้น รัฐจะต้องรับผิดชอบดำเนินการ
          4. สร้างความเจริญก้าวหน้าและความมั่นคง รัฐเหมือนสิ่งมีชีวิตที่มีคุณค่า ต้องการการพัฒนาให้เจริญก้าวหน้า มีความมั่นคงและปลอดภัย ทั้งด้านการเมือง เศรษฐกิจและสังคม


หน้าที่ของรัฐ
          ประชาชนจะอยู่รอดปลอดภัยและมีชีวิตที่สุขสมบูรณ์ได้ตามวัตถุประสงค์ดังกล่าวได้นั้น รัฐจะต้องทำหน้าที่ด้านต่าง ๆ ดังนี้
          1. การบริหาร คือ การปกครอง ดูแล และการป้องกันประเทศ รัฐต้องจัดให้มีสิ่งต่อไปนี้
               (1) จัดหน่วยปกครอง เพื่อการบริหารการปกครอง รัฐจะต้องดำเนินการตามกฎหมายในการให้ความคุ้มครองและป้องกันการละเมิดสิทธิ เสรีภาพ และความเสมอภาค ทั้งในส่วนเอกชนและมหาชน
               (2) รักษาความสงบภายใน รัฐต้องดำเนินการเพื่อให้เกิดความเป็นระเบียบเรียบร้อยขึ้นในรัฐ โดยการป้องกัน ระงับ และปราบปรามอาชญากรรม
               (3) หารายได้ รัฐต้องดำเนินการเพื่อหารายได้มาใช้จ่ายในการพัฒนาและรักษาความมั่นคงของประเทศด้วยการเก็บภาษีอากรที่เป็นธรรม มีความเสมอภาคและไม่รั่วไหล
               (4) รักษาเอกราช รัฐต้องดำเนินการโดยจัดให้มีกำลังป้องกันตนเอง เพื่อรักษาเอกราชและอธิปไตย ทั้งต้องเป็นมิตรและมีสัมพันธไมตรีกับนานาประเทศ ทั้งด้านการเมืองและเศรษฐกิจ
          2. การบริการและสวัสดิการ รัฐต้องอำนวยและบำบัดทุกข์ บำรุงสุข ให้แก่ประชาชนในด้านสุขภาพ อนามัย การสงเคราะห์ผู้ประสบภัย การศึกษา การฝึกฝนและประกอบอาชีพ เพื่อให้ประชาชนมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น มีศักดิ์และสิทธิ์แห่งการเป็นพลเมืองของประเทศ
          3. ความเป็นธรรมทางเศรษฐกิจ รัฐต้องสนับสนุน ส่งเสริมให้เอกชนมีความสามารถและมีความเข้มแข็งในการประกอบอาชีพ ป้องกันการเอารัดเอาเปรียบทางด้านเศรษฐกิจจากผู้ที่เข้มแข็งหรือร่ำรวยกว่า และป้องกันการค้าขายผูกขาด

การจัดระเบียบการปกครองภายในรัฐ         
           ทุกรัฐจะต้องมีการจัดระเบียบการปกครองภายใน ทั้งนี้เพื่อให้การปกครองดำเนินไปด้วยความเรียบร้อยและทำให้ประชาชนอยู่กันด้วยความผาสุก ด้วยเหตุนี้ทุกรัฐจึงสร้างระเบียบแบบแผนทางการปกครอง หรือ รัฐธรรมนูญ ขึ้น เพื่อระบุอำนาจหน้าที่ของสถาบันการปกครองต่าง ๆ ไว้อย่างชัดเจน ว่าสถาบันนั้น ๆ มีอำนาจหน้าที่อย่างไร และมีความสัมพันธ์กันอย่างไร รวมทั้งระบุสิทธิ เสรีภาพและหน้าที่ของประชาชนไว้

         
1. สถาบันการปกครอง   สถาบันการปกครองที่สำคัญ ๆ โดยทั่วไป ได้แก่
               1) ประมุข ประมุขของประเทศต่าง ๆ มีรูปแบบสำคัญ 2 รูปแบบ คือ แบบมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข และแบบมีประธานาธิบดีเป็นประมุข โดยทั้ง 2 แบบนี้จะใช้อำนาจตามที่รัฐธรรมนูญกำหนด กล่าวคือ ประเทศที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขจะทรงใช้อำนาจอธิปไตยผ่านสถาบันการปกครองอื่น ๆ ได้แก่ รัฐสภา คณะรัฐมนตรี และศาล ส่วนหัวหน้าของรัฐบาล คือ นายกรัฐมนตรี เช่น กรณีของประเทศอังกฤษ ไทย มาเลเซีย สเปน ส่วนประเทศที่มีประธานาธิบดีเป็นประมุข ประธานาธิบดีอาจเป็นผู้ใช้อำนาจผ่านสถาบันการปกครองเช่นเดียวกับพระมหากษัตริย์ และมีนายกรัฐมนตรีเป็นหัวหน้ารัฐบาล เช่น กรณีของประเทศอินเดีย สิงคโปร์ เยอรมนี อิตาลี หรืออาจเป็นหัวหน้าผู้บริหารหรือรัฐบาลเองก็ได้ เช่น กรณีของประเทศสหรัฐอเมริกา ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย เป็นต้น
               2) รัฐสภา มีอำนาจหน้าที่ในการออกกฎหมาย และควบคุมการบริหารราชการแผ่นดินของคณะรัฐมนตรีหรือรัฐบาล
               3) คณะรัฐมนตรีหรือรัฐบาล มีอำนาจหน้าที่ในการบริหารราชการแผ่นดิน และบังคับใช้กฎหมายต่างๆ
               4) ศาล มีอำนาจหน้าที่ในการตัดสินคดีต่าง ๆ ให้เป็นไปตามกฎหมาย
          สำหรับประเทศไทยนั้น มีรัฐธรรมนูญบัญญัติอำนาจหน้าที่ของสถาบันการปกครองต่างๆ และระบุสิทธิ เสรีภาพและหน้าที่ของประชาชนไว้อย่างชัดเจน เหมือนของนานอารยประเทศ ดังเช่น รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 ได้บัญญัติถึงรูปแบบของรัฐไทย และอำนาจหน้าที่ของสถาบันการปกครองต่าง ๆ ไว้ในมาตรา 1 , 2 และ 3 ดังนี้
          มาตรา 1 ประเทศไทยเป็นราชอาณาจักรอันหนึ่งอันเดียว จะแบ่งแยกมิได้
          มาตรา 2 ประเทศไทยมีการปกครองระบบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
          มาตรา 3 อำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชนชาวไทย พระมหากษัตริย์ผู้ทรงเป็นประมุขทรงใช้อำนาจนั้นทางรัฐสภา คณะรัฐมนตรี และศาล ตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนี้
          ในส่วนที่เกี่ยวกับสิทธิเสรีภาพและหน้าที่ของประชาชนชาวไทยนั้น
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 ได้บัญญัติไว้ในหมวด 3 และหมวด 4 

หลักการใช้อำนาจในการปกครอง         
           เรื่องสำคัญอีกเรื่องหนึ่งที่ทุกรัฐจะต้องดำเนินการก็คือ การจัดระเบียบการปกครองภายในที่จะทำให้รัฐบาลหรือคณะรัฐมนตรีสามารถบริหารงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ และสามารถอำนวยประโยชน์สุขให้แก่ประชาชนได้อย่างทั่วถึง ซึ่งนักรัฐศาสตร์ได้เสนอหลักการใช้อำนาจในการปกครองไว้ 3 แบบ คือ
          1. หลักการรวมอำนาจไว้ที่ส่วนกลาง (Centralization of Powers)
หมายถึง การให้กระทรวง ทบวง กรม ซึ่งตั้งอยู่ในเมืองหลวง อันเป็นศูนย์กลางในการบริหารประเทศ มีอำนาจหน้าที่ในการบริหารกิจการอันเป็นหน้าที่ของรัฐ โดยกระทรวง ทบวง กรมต่างๆ  จะจัดส่งเจ้าหน้าที่ของตนออกไปปฏิบัติงานในส่วนต่าง ๆ ของประเทศ และมีอำนาจหน้าที่ที่จะโยกย้ายสับเปลี่ยนหน้าที่เหล่านั้นได้ตลอดเวลาตามความเหมาะสม หลักการรวมอำนาจมีข้อดีและข้อเสียดังนี้
         
ข้อดี มีดังนี้
         
1. ช่วยให้เกิดเอกภาพในการบริหารงานราชการแผ่นดิน ทั้งนี้เพราะรัฐบาลในส่วนกลางสามารถวางระเบียบแบบแผนในการบริหารได้เหมือนกันหมดทั่วประเทศ รวมทั้งสามารถควบคุมให้มีการปฏิบัติตามระเบียบแบบแผนได้อย่างเต็มที่ และได้รับความร่วมมือจากเจ้าหน้าที่ทุกคนที่ไปประจำอยู่ในส่วนต่าง ๆ ของประเทศ
         
2. ช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายในการบริหารกิจการต่าง ๆ ได้มาก ทั้งนี้ก็เพราะรัฐบาลในส่วนกลางสามารถโยกย้ายสับเปลี่ยนเครื่องมือเครื่องใช้ และเจ้าหน้าที่จากท้องที่หนึ่งไปยังอีกท้องที่หนึ่งได้เสมอ โดยไม่จำเป็นต้องซื้อเครื่องมือเครื่องใช้หรือจ้างเจ้าหน้าที่ใหม่
         
3. ช่วยให้มีการจัดเก็บภาษีและระดมทรัพยากรของประเทศมาใช้เพื่อประโยชน์ของประชาชนทั้งประเทศได้สะดวก ทั้งนี้ก็เพราะรัฐบาลในส่วนกลางสามารถควบคุมการใช้ทรัพยากรในทุกส่วนของประเทศ และเก็บภาษีทุกชนิดมาใช้เพื่อประโยชน์ของประชาชนทั้งประเทศ มิใช่เพื่อประโยชน์ประชาชนในท้องถิ่นหนึ่งโดยเฉพาะ
         
4. ช่วยให้มีการวางแผนพัฒนาและแผนกระจายความเจริญไปยังส่วนต่าง ๆ ของประเทศได้ง่าย ทั้งนี้ก็เพราะรัฐบาลในส่วนกลางเป็นเจ้าของภาษีทั้งหมด จึงสามารถที่จะวางแผนการใช้เงินเพื่อการดังกล่าวได้โดยสะดวกตามที่รัฐบาลในส่วนกลางเห็นชอบ
         
5. ช่วยให้รัฐบาลในส่วนกลางสามารถวางแผนรักษาความมั่นคง และป้องกันการรุกรานหรือบ่อนทำลายจากภายนอกได้สะดวก ทั้งนี้ก็เพราะรัฐบาลในส่วนกลางมีอำนาจควบคุมกิจการทหารและตำรวจได้เด็ดขาด สามารถวางแผนใช้กำลังทหารและตำรวจเพื่อประโยชน์ในการรักษาความสงบเรียบร้อยภายในและป้องกันประเทศได้โดยสะดวก
         
ข้อเสีย มีดังนี้
         
1. ทำให้เกิดความล่าช้าในการบริหารราชการแผ่นดิน ทั้งนี้ก็เพราะเจ้าหน้าที่กระทรวง ทบวง กรม ส่งไปประจำยังส่วนต่าง ๆ ของประเทศ ไม่สามารถตัดสินใจปฏิบัติหน้าที่สำคัญบางอย่างด้วยตนเองได้ ต้องขออนุมัติจากผู้บังคับบัญชาชั้นสูงในกระทรวง ทบวง กรมเสมอ
         
2. ทำให้ไม่อาจควบคุมดูแลความประพฤติของเจ้าหน้าที่จากส่วนกลางที่ประจำยังส่วนต่างๆ ของประเทศได้ทั่วถึง โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับรัฐที่มีอาณาเขตกว้างใหญ่ ยังผลให้เจ้าหน้าที่บางส่วนสามารถสร้างความเดือดร้อนให้กับประชาชน ตลอดจนทุจริตต่อหน้าที่ได้สะดวก
         
3. ทำให้ความต้องการของประชาชนในท้องถิ่นต่าง ๆ ไม่ได้รับการตอบสนองอย่างเต็มที่ ทั้งนี้ก็เพราะเจ้าที่ที่กระทรวง ทบวง กรม ของส่วนกลางส่งไปประจำในท้องที่ต่าง ๆ อาจไม่เข้าใจความต้องการและภูมิประเทศของท้องถิ่นต่าง ๆ ได้ครบถ้วน
         
4. ทำให้ประชาชนในท้องถิ่นต่าง ๆ ไม่มีโอการได้ปกครองตนเอง หรือช่วยบริหารกิจการเพื่อประโยชน์ของท้องถิ่นของตน อันจะเป็นการช่วยเสริมสร้างประชาธิปไตยในท้องถิ่น ทั้งนี้ก็เพราะเจ้าหน้าที่ของส่วนกลางจะทำหน้าที่ทุกอย่างให้แก่ประชาชนในท้องถิ่น
         
5. ทำให้เจ้าหน้าที่ของส่วนกลางมีภาระหน้าที่มากเกินไป จนไม่สามารถทำหน้าที่เหล่านั้นให้ลุล่วงไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งอาจยังผลให้ประชาชนในส่วนต่าง ๆ ของประเทศไม่พอใจและเกลียดชังรัฐบาล

          2. หลักการกระจายอำนาจ (Decentralization of Powers)
หมายถึง การให้ประชาชนในท้องถิ่นต่างๆ ใช้อำนาจการปกครองบางอย่างได้ หรือมีอำนาจหน้าที่ในการบริหารกิจการบางอย่างเพื่อประโยชน์สุขของตนเองได้ตามที่ปรารถนา หรือกล่าวสั้น ๆ ได้ว่า การกระจายอำนาจ คือ การให้ประชาชนในท้องถิ่นต่าง ๆ มีอำนาจปกครองตนเองนั่นเอง โดยองค์กรการปกครองท้องถิ่นที่จัดตั้งขึ้นตามเจตนารมณ์ของประชาชนในท้องถิ่น จะมีฐานะเป็นนิติบุคคลมีอำนาจที่จะทำกิจการต่าง ๆ ได้เอง หลักการกระจายอำนาจการปกครองมีข้อดีและข้อเสีย ดังนี้
          ข้อดี
มีดังนี้
         
1. ทำให้ประชาชนในท้องถิ่นต่างๆ สามารถจัดกิจการสนองความต้องการของท้องถิ่นได้ตามที่ปรารถนาอย่างรวดเร็ว
         
2. ทำให้ประชาชนมีโอกาสได้ปกครองตนเอง อันเป็นการส่งเสริมให้ประชาชนมีประสบการณ์กับการปกครองระบอบประชาธิปไตยในท้องถิ่น ซึ่งจะช่วยให้ประชาชนสามารถปฏิบัติการปกครองแบบประชาธิปไตยในระดับชาติได้ง่าย
         
3. ทำให้ประชาชนในท้องถิ่นต่างๆ มีโอกาสช่วยกันสร้างความเจริญให้แก่ท้องถิ่นของตน และคิดพึ่งตนเองมากกว่าที่จะพึ่งเจ้าหน้าที่ของส่วนกลาง
         
4. ทำให้รัฐบาลในส่วนกลางมีภาระในการปฏิบัติหน้าที่เพื่อประชาชนในท้องถิ่นต่าง ๆ น้อยลง และมีเวลาในการปฏิบัติหน้าที่สำคัญ ๆ ของรัฐได้อย่างเต็มที่ อาทิ หน้าที่ในการรักษาความสงบเรียบร้อย หน้าที่ในการรักษาเอกราชของชาติ เป็นต้น
          ข้อเสีย
มีดังนี้
         
1. เสียค่าใช้จ่ายมาก องค์กรปกครองท้องถิ่นที่ตั้งขึ้น จะต้องใช้เงินทองซื้อเครื่องมือเครื่องใช้ และจ้างเจ้าหน้าที่สำหรับบริหารกิจการของท้องถิ่นต่าง ๆ เอง ด้วยเหตุนี้ หลักการกระจายอำนาจจึงมักจะใช้แพร่หลายในประเทศที่ร่ำรวย และใช้เฉพาะกับท้องถิ่นที่ประชาชนมีรายได้สูง และมีความสามารถที่จะปกครองตนเองได้เท่านั้น ส่วนประเทศที่ยากจนมักจะใช้หลักการกระจายอำนาจในขอบเขตที่จำกัด
         
2. อาจทำให้การบริหารกิจการต่าง ๆ อันเป็นหน้าที่ของรัฐขาดเอกภาพ ทั้งนี้เพราะท้องถิ่นต่าง ๆ อาจสร้างระเบียบการปกครองของตนเองแตกต่างกันไปในแต่ละท้องถิ่น
          3. อาจทำให้รัฐบาลในส่วนกลางไม่สามารถวางแผนในการใช้ทรัพยากร หรือแผนในการรักษาความสงบเรียบร้อยภายใน หรือแผนในการป้องกันประเทศได้ตามต้องการ ทั้งนี้ก็เพราะประชาชนในท้องถิ่นต่าง ๆ อาจไม่ให้ความร่วมมือกับรัฐบาลในส่วนกลางอย่างเต็มที่ในเรื่องการรักษาความสงบเรียบร้อยนอกท้องถิ่นของตน รวมทั้งอาจต้องการใช้ทรัพยากรหรือภาษีอากรที่เก็บในท้องถิ่นของตน เพื่อประโยชน์ของท้องถิ่นของตนเท่านั้น

          3. หลักการแบ่งอำนาจ (Deconcentration of Powers) หมายถึง การที่กระทรวง ทบวง กรม ที่ตั้งอยู่ในนครหลวง แบ่งอำนาจในการบริหารกิจการบางอย่างให้แก่ข้าราชการในสังกัดของตนที่ไปประจำอยู่ในภูมิภาค คือ จังหวัดและอำเภอ ทั้งนี้เพื่อให้ข้าราชการเหล่านั้นสามารถตัดสินใจในการทำกิจการต่าง ๆ เพื่อให้บริการประชาชนได้อย่างรวดเร็ว เช่น กรมตำรวจแบ่งอำนาจในการปราบปรามโจรผู้ร้าย ให้แก่เจ้าหน้าที่ตำรวจที่กรมตำรวจส่งไปประจำอยู่ในจังหวัดและอำเภอต่าง ๆ เป็นต้น หลักในการแบ่งอำนาจมีข้อดีและข้อเสีย ดังนี้
          ข้อดี
มีดังนี้
         
1. ทำให้ประชาชนได้รับบริการจากรัฐบาลกลางเร็วขึ้น
         
2. ลดภาระของรัฐบาลกลางในการวินิจฉัยสั่งการแก้ปัญหาของภูมิภาคต่าง ๆ
         
3. ลดค่าใช้จ่ายของรัฐบาลในการให้บริการแก่ประชาชน และของประชาชนในการขอรับบริการจากรัฐบาลกลาง
          ข้อเสีย
มีดังนี้
         
1. ทำให้ประชาชนในท้องถิ่นต่าง ๆ มีโอกาสปกครองตนเองหรือบริหารกิจการเพื่อสนองความต้องการของท้องถิ่นได้น้อย เพราะข้าราชการส่วนภูมิภาคซึ่งได้รับมอบหมายอำนาจมาจากส่วนกลางจะเป็นผู้บริหารกิจการด้วยตนเอง
         
2. ทำให้ความต้องการของประชาชนไม่ได้รับการตอบสนองอย่างเต็มที่ เนื่องจากข้าราชการส่วนภูมิภาคอาจไม่เข้าใจความต้องการของประชาชนในท้องถิ่นต่างๆ ได้อย่างแท้จริง
          ระบอบประชาธิปไตย คือ ระบอบการปกครองตนเองของประชาชน โดยผ่านการเลือกสมาชิกผู้แทนราษฎรไปบริหารและดูแลเรื่องกฎหมาย เพื่อผลประโยชน์ของประชาชนส่วนใหญ่และโดยการตรวจสอบควบคุมดูแลของประชาชนโดยตรงหรือการมีส่วนร่วมอย่างแข็งขัน เช่น การยื่นเสนอหรือแก้ไขกฎหมาย การยื่นถอดถอนนักการเมืองที่ประพฤติมิชอบ การแสดงความคิดในการทำประชาพิจารณ์ การออกเสียงในการทำประชามติ
          ระบอบประชาธิปไตย
ระบอบนี้มีลักษณะเด่นอยู่ที่การแข่งขันอย่างเสรีระหว่างกลุ่มหรือพรรคการเมืองต่างๆ เพียงเพื่อให้ได้รับความไว้วางใจจากประชาชนส่วนมากในประเทศให้เป็นรัฐบาล ทำหน้าที่บริหารกิจการต่างๆ ของประเทศตามนโยบายที่กลุ่มหรือพรรคนั้นได้วางไว้ล่วงหน้า ลักษณะเด่นดังกล่าวนี้จะดำรงอยู่ได้ตลอดไปถ้ากลุ่มหรือพรรคการเมืองนั้น ๆ ยึดหลักการประชาธิปไตยเป็นหลักในการต่อสู้แข่งขันทางการเมืองการปกครอง
          หลักการของระบอบประชาธิปไตย

          1. อำนาจอธิปไตย หรืออำนาจสูงสุดในการปกครองประเทศ หรือบางทีก็เรียกกันว่า อำนาจของรัฐ (state power) เป็นอำนาจที่มาจากปวงชน และผู้ที่จะได้อำนาจปกครองจะต้องได้รับความยินยอมจากประชาชนส่วนใหญ่ในประเทศ
          2. ประชาชนมีสิทธิที่จะมอบอำนาจปกครองให้แก่ประชาชนด้วยกันเอง โดยการออกเสียงเลือกตั้งตัวแทนเพื่อไปใช้สิทธิใช้เสียงแทนตน เช่น การเลือก สส. หรือ สว. โดยมีการกำหนดวันเลือกตั้งและมีวาระการดำรงตำแหน่ง เช่น ทุก 4 ปี หรือ 6 ปีเป็นต้น
          3. รัฐบาลจะต้องเคารพสิทธิและเสรีภาพขั้นพื้นฐานของประชาชน อาทิ สิทธิในทรัพย์สิน สิทธิในชีวิต เสรีภาพในการพูด การเขียน การแสดงความคิดเห็น การชุมนุม โดยรัฐบาลจะต้องไม่ละเมิดสิทธิเล่านี้
เว้นแต่เพื่อรักษาความมั่นคงของชาติ หรือเพื่อรักษาความสงบเรียบร้อย หรือเพื่อรักษาศีลธรรมอันดีงามของประชาชน
          4. ประชาชนทุกคนมีสิทธิเสมอกันในการที่จะได้รับบริการทุกชนิดที่รัฐจัดให้แก่ประชาชน เช่น สิทธิในการ ได้รับการศึกษาขั้นพื้นฐาน 12 ปีโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย
          5. รัฐบาลถือกฎหมายและความเป็นธรรมเป็นบรรทัดฐานในการปกครอง และในการแก้ปัญหาความขัดแย้งต่าง ๆ ระหว่างกลุ่มชน รวมทั้งจะต้องไม่ออกกฎหมายที่มีผลเป็นการลงโทษบุคคลย้อนหลัง

         
ระบอบประชาธิปไตยแบ่งออกเป็น 2 แบบ คือ แบบที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข และแบบที่มีประธานาธิบดีเป็นประมุข
          1. แบบแรกมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข  ได้แก่ อังกฤษ เนเธอแลนด์ เบลเยี่ยม เดนมาร์ก นอร์เวย์ สวีเดน ญี่ปุ่น มาเลเซีย และไทย
          2. แบบที่สองมีประธานาธิบดีเป็นประมุข ได้แก่ ฝรั่งเศส อินเดีย สหรัฐอเมริกา เป็นต้น

          ข้อดีและข้อเสียของ ระบอบประชาธิปไตย
          1. ข้อดีของระบอบประชาธิปไตย ที่ควรกล่าวถึงมีดังนี้
               1.1 เปิดโอกาสให้ประชาชน ส่วนข้างมากดำเนินการปกครองประเทศ โดยประชาชนส่วนข้างน้อยมีสิทธิที่จะดำรงอยู่และทำการคัดค้านการปกครองของฝ่ายข้างมากได้ ข้อดีข้อนี้มีส่วนทำให้เกิดผลดีต่อประเทศชาติโดยส่วนรวม เนื่องจากการตัดสินใจทำสิ่งต่าง ๆ ด้วยฝ่ายเสียงข้างมากนั้นย่อมจะมีความถูกต้องมากและผิดพลาดน้อย ขณะเดียวกันฝ่ายเสียงข้างน้อยจะคอยเป็นกระจกเงา และท้วงติดผลเสียที่จะต้องป้องกันมิให้เกิดขึ้นตลอดเวลา
               1.2 เปิดโอกาสให้ประชาชนทุกคนใช้สิทธิเสรีภาพได้อย่างเสมอหน้ากัน ตัวอย่างเช่น ไม่ว่าจะเป็นคนมั่งมีหรือยากจน มีสิทธิที่จะรวมตัวกันเป็นพรรคการเมืองและสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและประธานาธิบดี ซึ่งทำให้ประชาชนมีโอกาสเลือกคนดีและมีความสามารถเข้าดำรงตำแหน่งดังกล่าว
               1.3 ถือกฎหมายเป็นมาตรฐานในการดำเนินการปกครอง โดยใช้กฎหมายบังคับแก่ทุกคน ไม่ว่าจะเป็นคนมั่งมีหรือยากจน ไม่ว่าจะเป็นข้าราชการหรือประชาชน ยังผลให้ทุกคนเสมอกันโดยกฎหมาย
               1.4 ช่วยระงับความขัดแย้งระหว่างรัฐบาลกับประชาชน และระหว่างประชาชนด้วยกันเองโดยสันติวิธี โดยมีศาลเป็นผู้พิจารณาพิพากษาคดีต่าง ๆ ให้เป็นไปตามกฎหมาย ซึ่งช่วยทำให้ประชาชนอยู่ร่วมกันได้อย่างสันติ โดยมีกฎหมายเป็นกรอบของความประพฤติของทุกคน
          2. ข้อเสียของระบอบประชาธิปไตย
ที่ควรกล่าวถึงมีดังนี้
               2.1 มีความล่าช้าในการตัดสินใจทำการต่าง ๆ เนื่องจากต้องมีการปรึกษาหารือและผ่านขั้นตอนมาก เช่นการตรา กฎหมายแต่ละฉบับต้องใช้เวลาบางครั้งหลายวัน หลายสัปดาห์ หรือหลายเดือน เนื่องจากต้องมีการอภิปรายกันในสภา และแก้ไขปรับปรุงกันมากกว่าจะประกาศใช้บังคับเป็นกฎหมาย ด้วยเหตุนี้ผู้นำของประเทศที่กำลังพัฒนาซึ่งมีปัญหาที่จะต้องแก้ไขโดยรีบด่วน จึงมักจะคิดว่าระบอบประชาธิปไตยไม่เหมาะกับประเทศของตน
               2.2 ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการดำเนินการปกครองมาก ตัวอย่างเช่น ในการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรทั่วประเทศ หรือเลือกตั้งประธานาธิบดีแต่ละครั้ง ต้องใช้เงินทองเป็นจำนวนมาก ซึ่งผู้นำประเทศที่กำลังพัฒนามักคิดว่าประเทศของตนยากจนเกินไปที่จะใช้ระบอบประชาธิปไตยได้
               2.3 อาจนำไปสู่ความสับสนวุ่นวายได้ ถ้าประชาชนส่วนมากในประเทศที่ใช้ระบอบประชาธิปไตย ไม่รู้จักใช้สิทธิเสรีภาพให้อยู่ภายในกรอบของกฎหมาย ซึ่งอาจทำให้ประเทศชาติเจริญช้าลงอีก ด้วยเหตุนี้ผู้นำของประเทศที่กำลังพัฒนาบางประเทศ จึงคิดว่าระบอบประชาธิปไตยไม่เหมาะสมกับประเทศของตน เนื่องจากประชาชนส่วนใหญ่ยังไม่พร้อมที่จะปกครองในระบอบประชาธิปไตย


รากฐานสำคัญของประชาธิปไตย              
           อธิบายในเชิงวิชาการ (เชิงมีเหตุผลยืนยันสอดคล้องน่าเชื่อถือหรือพิสูจน์ได้)ได้ว่า ระบอบประชาธิปไตยที่แท้จริงนั้น ต้องอยู่บนรากฐานหลักการที่สำคัญ 5 ประการ คือ              
              1. หลักการอำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชน ประชาชนแสดงออกซึ่งการเป็นเจ้าของโดยใช้ อำนาจที่มีตามกระบวนการเลือกตั้งอย่างอิสระและทั่วถึงในการให้ได้มาซึ่งตัวผู้ปกครองและผู้แทนของตน รวมทั้งประชาชนมีอำนาจในการคัดค้านและถอดถอนผู้ปกครองและผู้แทนที่ประชาชนเห็นว่า ไม่ได้บริหารประเทศในทางที่เป็นประโยชน์ต่อสังคมส่วนรวม เช่น มีพฤติกรรมฉ้อโกง หาผลประโยชน์ทับซ้อนจนร่ำรวยผิดปกติ               
              2. หลักเสรีภาพ ประชาชนทุกคนมีความสามารถในการกระทำหรืองดเว้นการกระทำอย่างใดอย่างหนึ่งตามที่บุคคลต้องการ ตราบเท่าที่การกระทำของเขานั้น ไม่ไปละเมิดลิดรอนสิทธิเสรีภาพของบุคคลอื่น หรือละเมิดต่อความสงบเรียบร้อยของสังคมและความมั่นคงของประเทศชาติ               
              3. หลักความเสมอภาค การเปิดโอกาสให้ประชาชนทุกคนสามารถเข้าถึงทรัพยากรและคุณค่าต่างๆของสังคมที่มีอยู่จำกัดอย่างเท่าเทียมกัน โดยไม่ถูกกีดกันด้วยสาเหตุแห่งความแตกต่างทางชั้นวรรณะทางสังคม ชาติพันธุ์ วัฒนธรรมความเป็นอยู่ ฐานะทางเศรษฐกิจ หรือด้วยสาเหตุอื่น              
              4. หลักการปกครองโดยกฎหมายหรือหลักนิติธรรม การให้ความคุ้มครองสิทธิขั้นพื้นฐานของประชาชนทั้งในเรื่องสิทธิเสรีภาพในทรัพย์สิน การแสดงออก การดำรงชีพ ฯลฯ อย่างเสมอหน้ากัน โดยผู้ปกครองไม่สามารถใช้อำนาจใดๆลิดรอนเพิกถอนสิทธิเสรีภาพของประชาชนได้ และผู้ปกครองไม่สามารถใช้อภิสิทธิอยู่เหนือกฎหมาย หรือเหนือกว่าประชาชนคนอื่นๆได้              
              5. หลักการเสียงข้างมาก (Majority rule)ควบคู่ไปกับการเคารพในสิทธิของเสียงข้างน้อย (Minority Rights) การตัดสินใจใดๆที่ส่งผลกระทบต่อประชาชนหมู่มาก ไม่ว่าจะเป็นการเลือกตั้งผู้แทนของประชาชนเข้าสู่ระบบการเมือง การตัดสินใจของฝ่ายนิติบัญญัติ ฝ่ายบริหาร หรือฝ่ายตุลาการ ย่อมต้องถือเอาเสียงข้างมากที่มีต่อเรื่องนั้นๆ เป็นเกณฑ์ในการตัดสินทางเลือก โดยถือว่าเสียงข้างมากเป็นตัวแทนที่สะท้อนความต้องการ/ข้อเรียกร้องของประชาชนหมู่มาก 
              
หลักการเสียงข้างมากนี้ ต้องใช้ควบคู่ไปกับการ เคารพและคุ้มครองสิทธิเสียงข้างน้อยด้วย
           ทั้งนี้ก็เพื่อเป็นหลักประกันว่า ฝ่ายเสียงข้างมากจะไม่ใช้วิธีการพวกมากลากไปเพื่อผลประโยชน์ของพวกตนอย่างสุดโต่ง แต่ต้องดำเนินการเพื่อประโยชน์ของประชาชนทั้งหมด เพื่อสร้างสังคม ที่ประชาชนเสียงข้างน้อย รวมทั้งชนกลุ่มน้อย ผู้ด้อยโอกาสต่างๆ สามารถอยู่ร่วมกับประชาชนกลุ่มอื่นๆ ได้อย่างสันติสุข โดยไม่มีการเอาเปรียบกัน และไม่มีการสร้างความขัดแย้งในสังคมมากเกินไป
 

          ระบอบเผด็จการ มีลักษณะเด่นอยู่ที่การรวมอำนาจการเมืองการปกครองไว้ที่บุคคลเพียงคนเดียวหรือคณะเดียวหรือพรรคเดียว โดยบุคคลหรือคณะบุคคลดังกล่าวสามารถใช้อำนาจนั้นควบคุมบังคับประชาชนได้โดยเด็ดขาด หากประชาชนคนใดคัดค้านผู้นำหรือคณะผู้นำก็จะถูกลงโทษให้ทำงานหนักหรือถูกจำคุก
          ระบอบเผด็จการมี 3 แบบ คือ เผด็จการทหาร เผด็จการฟาสซิสต์ และเผด็จการคอมมิวนิสต์ ดังต่อไปนี้
          1. ระบอบเผด็จการทหาร หมายถึง ระบอบเผด็จการที่คณะผู้นำฝ่ายทหารเป็นผู้ใช้อำนาจเผด็จการในการปกครองโดยตรงหรือโดยอ้อม (ผ่านทางพลเรือนที่พวกตนสนับสนุน) และมักจะใช้กฎอัยการศึกหรือรัฐธรรมนูญที่คณะของตนสร้างขึ้นเป็นเครื่องมือในการปกครอง โดยทั่วไปคณะผู้นำทหารมักจะใช้อำนาจเผด็จการปกครองประเทศเป็นการชั่วคราว ระหว่างที่ประเทศอยู่ในภาวะสงครามหรือหลังจากล้มเลิกระบอบประชาธิปไตย โดยมีเป้าหมายเพื่อขจัดภัยคุกคามบางอย่างต่อความมั่นคงของรัฐ ส่วนมากแล้วเมื่อเหตุการณ์ความวุ่นวายต่าง ๆ สงบลง คณะผู้นำทางทหารก็มักจะอ้างสาเหตุต่าง ๆ นานาเพื่อยึดอำนาจการปกครองประเทศต่อไปอีก ไม่ยอมที่จะคืนอำนาจกลับมาให้ประชาชนโดยง่าย ดังเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในสหภาพพม่าในปัจจุบันนี้เป็นต้น แต่ทว่าเมื่อเวลายิ่งผ่านเนิ่นนานออกไปกระแสความไม่พอใจในหมู่ประชาชนรวมทั้งแรงกดดันจากนานาชาติ ก็จะทำให้คณะผู้นำทางทหารกุมอำนาจการปกครองไว้ไม่ได้ ในที่สุดก็จำเป็นต้องคืนอำนาจให้ประชาน แต่กว่าจะมาถึงจุดนี้ได้ ในบางประเทศก็เกิดความวุ่นวาย มีการต่อสู้ระหว่างกำลังของประชาชนกับกำลังของรัฐบาลเผด็จการทหาร ซึ่งจากประวัติศาสตร์การเรียกร้องสิทธิเสรีภาพในการปกครองที่ผ่านมา มักจะจบลงโดยชัยชนะเป็นของฝ่ายประชาชน เช่นเหตุการณ์ซึ่งเกิดขึ้นที่โรมาเนีย ฟิลิปปินส์ เป็นต้น ตัวอย่างของการปกครองแบบเผด็จการทหาร เช่น การปกครองของญี่ปุ่นระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 อันเป็นระยะที่พลเอกโตโจและคณะนายทหารใช้อำนาจเผด็จการในการปกครอง หรือการปกครองของไทยระหว่างที่ไม่มีรัฐธรรมนูญ ในระหว่างวันที่ 20 ตุลาคม 2501 ถึงวันที่ 20 มิถุนายน 2511 อำนาจการปกครองประเทศตกอยู่ภายใต้การควบคุมของคณะปฏิวัติ ซึ่งนำโดย จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ และจอมพลถนอม กิตติขจร ส่วนในปัจจุบัน(พ.ศ. 2541) ก็มี เช่น การปกครองของสหภาพพม่าภายใต้การนำของพลเอกตาน ส่วย เป็นต้น
         

             2. ระบอบเผด็จการฟาสซิสต์ หมายถึง ระบอบเผด็จการที่ผู้นำคนหนึ่งซึ่งได้รับการสนับสนุนจากกลุ่มนักธุรกิจและกองทัพให้ใช้อำนาจเผด็จการปกครองประเทศ ผู้นำในระบอบการปกครองเผด็จการฟาสซิสต์มักจะมีลัทธิการเมืองที่เรียกกันว่า ลัทธิฟาสซิสต์ เป็นลัทธิชี้นำในการปกครองและมุ่งที่จะใช้อำนาจเผด็จการปกครองประเทศเป็นการถาวร โดยเชื่อว่าระบอบการปกครองแบบนี้เหมาะสมกับประเทศของตน และจะช่วยให้ประเทศของตนมีความเจริญก้าวหน้าโดยเร็ว ตัวอย่างของการปกครองระบอบเผด็จการฟาสซิสต์ เช่น การปกครองของอิตาลีสมัยมุสโสลินีเป็นผู้นำ ระหว่าง พ.ศ. 2473 – 2486 การปกครองของเยอรมนีสมัยฮิตเลอร์เป็นผู้นำ ระหว่าง พ.ศ. 2476 – 2488 หรือการปกครองของสเปนสมัยจอมพลฟรังโกเป็นผู้นำระหว่าง
พ.ศ. 2480 – 2518 เป็นต้น
          3. ระบอบเผด็จการคอมมิวนิสต์ หมายถึง ระบอบเผด็จการที่พรรคคอมมิวนิสต์เพียงพรรคเดียวได้รับการยอมรับ หรือสนับสนุนจากกลุ่มบุคคลต่าง ๆ และกองทัพให้เป็นผู้ใช้อำนาจเผด็จการปกครองประเทศ คณะผู้นำของพรรคคอมมิวนิสต์เชื่อว่า ระบอบเผด็จการคอมมิวนิสต์เป็นรูปแบบการปกครองที่เหมาะสมกับประเทศของตน และจะช่วยทำให้ชนชั้นกรรมาชีพเป็นอิสระจากการถูกกดขี่โดยชนชั้นนายทุน รวมทั้งทำให้ประเทศมีความเจริญก้าวหน้าและเข้มแข็งทัดเทียมกับต่างประเทศได้เร็วกว่าระบอบการปกครองแบบอื่น ระบอบเผด็จการคอมมิวนิสต์มีความแตกต่างจากระบอบเผด็จการทหารอยู่ข้อหนึ่งที่สำคัญ คือ ระบอบเผด็จการทหารจะควบคุมเฉพาะกิจกรรมทางการเมืองของประชาชนเท่านั้น แต่ระบอบเผด็จการคอมมิวนิสต์จะใช้อำนาจเผด็จการควบคุมกิจกรรมละการดำเนินชีวิตของประชาชนในทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็นด้านการเมือง การปกครอง ด้านเศรษฐกิจ และด้านสังคม ด้วยเหตุนี้นักรัฐศาสตร์จึงเรียกระบอบเผด็จการคอมมิวนิสต์อีกอย่างหนึ่งว่า ระบอบเผด็จการแบบเบ็ดเสร็จ


หลักการของระบอบเผด็จการ         
           1. ผู้นำคนเดียวหรือคณะผู้นำของกองทัพ หรือของพรรคการเมืองเพียงกลุ่มเดียวมีอำนาจสูงสุด และสามารถใช้
อำนาจนั้นได้อย่างเต็มที่โดยไม่ต้องฟังเสียงคนส่วนใหญ่ในประเทศ
          2. การรักษาความมั่นคงของผู้นำหรือคณะผู้นำ มีความสำคัญกว่าการคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของประชาชน ประชาชนไม่สามารถที่จะวิพากษ์วิจารณ์การกระทำของผู้นำอย่างเปิดเผยได้
          3. ผู้นำหรือคณะผู้นำสามารถที่จะอยู่ในอำนาจได้ตลอดชีวิต หรือนานเท่าที่กลุ่มผู้ร่วมงานหรือกองทัพยังให้การสนับสนุน ประชาชนทั่วไปไม่มีสิทธิที่จะเปลี่ยนผู้นำได้โดยวิถีทางรัฐธรรมนูญ
          4. รัฐธรรมนูญและการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนที่จัดขึ้นตามรัฐธรรมนูญและรัฐสภา ไม่มีความสำคัญต่อกระบวนการทางการปกครองเหมือนในระบอบประชาธิปไตย กล่าวคือ รัฐธรรมนูญเป็นแต่เพียงรากฐานรองรับอำนาจของผู้นำหรือคณะผู้นำเท่านั้น ส่วนการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนที่จัดขึ้นก็เพื่อให้ประชาชนออกเสียงเลือกตั้งผู้สมัครที่ผู้นำหรือคณะผู้นำส่งเข้าสมัครรับเลือกตั้งเท่านั้น ในทำนองเดียวกัน รัฐสภาก็จะประชุมกันปีละ 5 – 10 วัน เพื่อรับทราบและยืนยันให้ผู้นำหรือคณะผู้นำทำการปกครองต่อไป ตามที่ผู้นำหรือคณะผู้นำเห็นสมควร


ข้อดีและข้อเสีย ของระบอบเผด็จการ
          ข้อดี  ของระบอบเผด็จการ ได้แก่
         
           1. รัฐบาลสามารถตัดสินใจทำการอย่างใดอย่างหนึ่งได้รวดเร็วกว่ารัฐบาลในระบอบประชาธิปไตย เช่น สามารถออกกฎหมายมาใช้บังคับเพื่อวัตถุประสงค์อย่างใดอย่างหนึ่งได้ โดยไม่ต้องขอความเห็นชอบจากเสียงข้างมากในรัฐสภา ทั้งนี้ก็เพราะผู้นำหรือคณะรัฐมนตรีมักจะได้รับมอบอำนาจจากรัฐสภาไว้ล่วงหน้าให้ออกกฎหมายหรือระเบียบข้อบังคับบางอย่างได้เอง
          2. แก้ปัญหาบางอย่างได้อย่างมีประสิทธิผลกว่าระบอบประชาธิปไตย เช่น สั่งการปราบการจลาจล การก่ออาชญากรรม และการก่อการร้ายต่าง ๆ ได้อย่างเฉียบขาดมากกว่า โดยไม่จำต้องเกรงว่าจะเกินอำนาจที่กฎหมายให้ไว้ เนื่องจากศาลในระบอบเผด็จการไม่ได้มีความเป็นอิสระในการพิจารณาคดีเหมือนในระบอบประชาธิปไตย
         
ข้อเสียของระบอบเผด็จการ ได้แก่
          1. เป็นการปกครองโดยบุคคลคนเดียวหรือกลุ่มเดียว ซึ่งย่อมจะมีการผิดพลาดและใช้อำนาจเพื่อประโยชน์ส่วนตนและพวกพ้องได้โดยไม่มีใครรู้หรือกล้าคัดค้าน
          2. มีการใช้อำนาจเผด็จการกดขี่และลิดรอนสิทธิเสรีภาพ รวมทั้งประทุษร้ายต่อชีวิตของคนหรือกลุ่มคนที่ไม่เห็นด้วยกับกลุ่มผู้ปกครอง
          3. ทำให้คนดีมีความสามารถที่ไม่ใช่พวกพ้อง หรือผู้สนับสนุนกลุ่มผู้ปกครองไม่มีโอกาสดำรงตำแหน่งสำคัญในทางการเมือง
          4. ประชาชนส่วนใหญ่ที่ถูกกดขี่และขาดสิทธิเสรีภาพ ย่อมจะไม่สนับสนุนนโยบายของรัฐบาลอย่างเต็มที่และอาจพยายามต่อต้านอยู่เงียบ ๆ หรือมิฉะนั้นบางคนก็อาจจะหลบหนีไปอยู่ต่างประเทศ ซึ่งส่วนใหญ่บุคคลเหล่านี้มักจะเป็นพวกปัญญาชน ทำให้ประเทศชาติขาดแคลนทรัพยากรบุคคลที่มีความรู้ความสามารถ
          5. อาจนำประเทศชาติไปสู่ความพินาศได้ เหมือนดังฮิตเลอร์ได้นำประเทศเยอรมนี หรือพลเอกโตโจได้นำประเทศญี่ปุ่นเข้าสู่สงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งผลปรากฏว่าทั้งสองประเทศประสบความพินาศอย่างย่อยยับ หรือตัวอย่างเหตุการณ์ที่ประธานาธิบดีซัดดัม ฮุสเซน เห่งอิรัค ได้ส่งกำลังทหารเข้ายึดครองประเทศคูเวต และไม่ยอมถอนตัวออกไปตามมติขององค์การสหประชาชาติ จนกองกำลังนานาชาติต้องเปิดฉากทำสงครามกับอิรักเพื่อปลดปล่อยคูเวต และผลสุดท้ายอิรักก็เป็นฝ่ายปราชัยอย่างย่อยยับ ทำให้ประชาชนชาวอิรักต้องประสบความเดือดร้อนอย่างแสนสาหัสเสียทั้งทรัพย์สินและชีวิต การพัฒนาประเทศหยุดชะงัก ทั้งนี้เป็นเพราะการตัดสินใจผิดพลาดของผู้นำเพียงคนเดียว
          เนื่องจากระบอบประชาธิปไตยและระบอบเผด็จการต่างก็มีข้อดีและข้อเสียดังกล่าว จึงทำให้ชนชั้นนำและประชาชนจำนวนหนึ่งในประเทศต่างๆ เลือกใช้ระบอบการปกครองที่พวกตนคิดว่าเหมาะสมกับประเทศของตนในขณะนั้น และสามารถช่วยแก้ปัญหาทางการเมือง เศรษฐกิจ และสังคมในประเทศของตนตามแนวทางที่พวกตนเชื่อได้ ดังจะเห็นได้ว่า ในระยะตั้งแต่สิ้นสงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นต้นมา บางประเทศได้เปลี่ยนแปลงการปกครองของตนจากระบอบเผด็จการมาเป็นระบอบประชาธิปไตย เช่น เยอรมนี อิตาลี ญี่ปุ่น โปรตุเกส สเปน เป็นต้น ส่วนบางประเทศก็เปลี่ยนจากระบอบประชาธิปไตยมาเป็นระบอบเผด็จการทหาร เช่น พม่า นิการากัว เอธิโอเปีย เป็นต้น ในทำนองเดียวกัน บางประเทศก็เปลี่ยนจากระบอบเผด็จการฟาสซิสต์หรือเผด็จการทหารเป็นระบอบเผด็จการคอมมิวนิสต์ เช่น เกาหลีเหนือ เป็นต้น


รัฐประหาร 6 ตุลาคม 2519

             รัฐประหาร 6 ตุลาคม พ.ศ. 2519 เป็นการรัฐประหารครั้งหนึ่งที่เกิดขึ้นในประเทศไทย เกิดขึ้นในเวลา 18.00 น. ของวันที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2519 อันเนื่องจากเหตุการณ์การสังหารหมู่ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ ที่เกิดขึ้นมาตลอดช่วงวันนั้นที่เรียกว่า เหตุการณ์ 6 ตุลา รัฐบาลพลเรือนโดย หม่อมราชวงศ์เสนีย์ ปราโมช นายกรัฐมนตรี, รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ไม่อาจควบคุมสถานการณ์ให้อยู่ในความสงบเรียบร้อยได้ คณะนายทหาร 3 เหล่าทัพและอธิบดีกรมตำรวจ นำโดย พลเรือเอกสงัด ชลออยู่ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด จึงจำเป็นต้องยึดอำนาจการปกครองไว้ โดยใช้ชื่อว่า คณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน
              โดยคณะนายทหารได้เชิญหม่อมราชวงศ์เสนีย์ ปราโมช นายกรัฐมนตรีไปปรึกษาหารือที่กองบัญชาการทหารสูงสุดที่สนามเสือป่า รวมทั้งได้ร่วมรับประทานโต๊ะจีนและพักค้างคืนด้วยกัน จนกระทั่งรุ่งเช้าของวันที่ 7 ตุลาคม หม่อมราชวงศ์เสนีย์จึงลากลับไป
              คณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดินได้ออกประกาศคณะปฏิรูปออกมาหลายฉบับ โดยมากมีเนื้อหาควบคุมเพื่อสถานการณ์ให้อยู่ในความสงบเรียบร้อย โดยประกาศฉบับหนึ่งที่ความสำคัญคือ ประกาศฉบับที่ 5 ที่ว่าด้วยการควบคุมสื่อมิให้เผยแพร่ภาพและเนื้อหาที่เกิดขึ้นในเหตุการณ์ 6 ตุลา เป็นเวลา 3 วัน คือตั้งแต่วันที่ 6 ตุลาคม - 9 ตุลาคม ซึ่งในช่วงเวลา 3 วันนั้นเป็นครั้งแรกและครั้งเดียวในประวัติศาสตร์ไทยจนบัดนี้ที่หนังสือพิมพ์หลายฉบับถูกห้ามตีพิมพ์และจัดจำหน่าย และประกาศคณะปฏิรูปฉบับนี้ได้ครอบคลุมรวมถึงสื่อทุกสื่อรวมถึงโทรทัศน์ด้วย
              คณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดินได้แต่งตั้งให้ นายธานินทร์ กรัยวิเชียร ขึ้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี โดยนายทหารในคณะปฏิรูปการปกครองได้เปลี่ยนสถานะของตัวเองเป็น สภาปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน มีสมาชิก 340 คน ทำหน้าที่เหมือนรัฐสภาและฝ่ายนิติบัญญัติ ให้การสนับสนุนรัฐบาลนายธานินทร์ โดยที่คณะรัฐบาลนายธานินทร์มีคณะรัฐมนตรีเพียง 17 คนเท่านั้น และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมก็ได้แก่ พลเรือเอกสงัด ชลออยู่ นั่นเอง ซึ่งนายธานินทร์ได้ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนต่อมาว่า รัฐบาลเสมือนหอยที่อยู่ในเปลือก โดยมีนัยถึงเป็นรัฐบาลที่มีคณะนายทหารคอยให้ความคุ้มกัน จึงได้รับฉายาว่า รัฐบาลหอย
              รัฐบาลคณะนายธานินทร์ กรัยวิเชียร ดำเนินนโยบายทางการเมืองอย่างขวาตกขอบ มีการจับกุมและทำร้ายผู้ที่สงสัยว่าอาจกระทำการเป็นคอมมิวนิสต์อย่างรุนแรง โดยอาศัยรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2519 มาตราที่ 21 จึงทำให้นายกรัฐมนตรีมีอำนาจสูงสุด
              แต่ทว่า การดำเนินงานของคณะรัฐบาลนายธานินทร์ กรัยวิเชียร ประสบกับปัญหาตลอด ทั้งเหตุการณ์การก่อการร้ายโดยคอมมิวนิสต์ และปัญหาภายในรัฐบาลเอง เช่น การร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่เป็นไปด้วยความล่าช้าอีกทั้งบทเฉพาะกาลของ รัฐธรรมนูญที่ออกมามีแผนพัฒนาประชาธิปไตยนานถึง 3 ขั้น กินเวลา 12 ปี ไม่ทันการกับสถานการณ์ปัจจุบัน หรือ การเกิดเหตุการณ์กบฏ 26 มีนาคม พ.ศ. 2520 โดย พลเอกฉลาด หิรัญศิริ การปราบปรามผู้ที่รัฐบาลเห็นว่าเป็นคอมมิวนิสต์อย่างเข้มข้น จนหลายครั้งปราศจากการตรวจสอบ ส่งผลให้มีนักศึกษาและปัญญาชนจำนวนมากที่มีความคิดทางการเมืองแตกต่างจาก รัฐบาลต้องหลบหนีเข้าป่าเข้าร่วมกับพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย (พคท.)สถานการณ์ของประเทศเกิดความแตกแยกอย่างรุนแรง ในที่สุดคณะนายทหารในสภาปฏิรูปการปกครองแผ่นดินชุดเดิมที่นำโดย พลเรือเอกสงัด ชลออยู่ จึงกระทำการรัฐประหารอีกครั้งในวันที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2520 และแต่งตั้ง พลเอกเกรียงศักดิ์ ชมะนันท์ ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีแทน สถานการณ์ต่างๆจึงเริ่มคลี่คลาย เมื่อรัฐบาลพล.อ.เกรียงศักดิ์ ได้ออกกฎหมายนิรโทษกรรม กลุ่มนักศึกษาปัญญาชนที่หลบหนีเข้าป่า จึงเริ่มทยอยกลับคืนสู่เมืองอีกครั้ง
              อนึ่ง ในวันรัฐประหารเมื่อคืนวันที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2519 นั้น หม่อมราชวงศ์เสนีย์ ปราโมช ได้บันทึกไว้ในหนังสือชีวลิขิต ซึ่งเป็นหนังสืออัตชีวประวัติของท่าน ได้บอกว่า คณะปฏิรูป ฯ จะให้ท่านดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีต่อไป แต่ท่านตอบปฏิเสธ และขอให้ท่านรับเป็นหัวหน้าในการรัฐประหารครั้งนี้ ซึ่งท่านก็ตอบปฏิเสธอีก พลเรือเอกสงัด ชลออยู่ ได้บอกกับท่านว่า มีความจำเป็นที่จะต้องทำการยึดอำนาจ ไม่เช่นนั้นทหารอีกกลุ่มจะทำการในเวลา 04.00 น. ของวันที่ 7 ตุลาคม ซึ่งหม่อมราชวงศ์เสนีย์สันนิษฐานว่า อาจเป็นคณะของ พลเอกฉลาด หิรัญศิริ อีกทั้งก่อนหน้านั้น พลเรือเอกสงัดได้เคยเตือนท่านมาครั้งหนึ่งว่า ทหารจะกระทำการรัฐประหารและมีผู้ชักชวนท่านให้ทำการด้วย อีกทั้งท่านยังสงสัยในพฤติกรรมของบุคคลร่วมรัฐบาลบางคน ในการประชุมสถานการณ์ในเช้าวันที่ 6 ตุลาคม ที่ทำเนียบรัฐบาล เนื่องจากเข้า ๆ ออก ๆ ที่ประชุมตลอด ว่าอาจรู้เห็นเป็นใจกับกลุ่มบุคคลที่เข้าทำร้ายกลุ่มนักศึกษาผู้ชุมนุมหรือ รู้เห็นเป็นใจกับคณะนายทหารอีกคณะหนึ่งที่ พลเรือเอกสงัดอ้างว่าจะทำการรัฐประหาร


ภาพศพผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์

ข้อมูลจาก http://politicalbase.in.th/index.php

19 กันยายน รำลึก

รำลึกเหตุการณ์ครบรอบ 5 ปี รัฐประหาร
            กลุ่มคนเสื้อแดง ร่วมชุมนุมรำลึกเหตุการณ์ครบรอบ 5 ปี การทำรัฐประหาร ที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ขณะที่คณะนิติราษฎร์เปิดแถลงการณ์ "ลบล้างผลพวงของรัฐประหาร 19 กันยายน-จัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่"


วีรบุรุษต้านรัฐประหาร
นวมทอง ไพรวัลย์ นักต่อสู้ภาคประชาชน กลายเป็นอนุสรณ์แห่งการต้านรัฐประหาร หลังผูกคอตายกับราวสะพานลอยเพื่อต่อต้านระบบเผด็จการเมื่อ 5 ปีที่แล้ว


นายกฯล่องเรือตรวจน้ำท่วม
นายกรัฐมนตรี ล่องเรือตรวจสถานการณ์น้ำแม่น้ำเจ้าพระยา พร้อมกำชับผู้ว่าราชการจังหวัด เร่งทำแนวป้องกันน้ำเหนือ ขณะที่ศอส.เตือน 8 จังหวัดภาคกลาง รับมือวิกฤตน้ำล้นตลิ่ง

 
Produced by Voice TV
18 กันยายน 2554



เหตุที่ทำให้เกิดการรัฐประหารในครั้งนั้นที่มีการประกาศอย่างเป็น ทางการมี สี่ประการคือ 
            ประการแรก การบ่อนทำลายเพื่อล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์ที่ทำกันอย่างเป็นล่ำเป็นสัน ถึงขั้นอึกทึกครึกโครมชนิดที่ไม่เคยเกิดขึ้นนับตั้งแต่ได้สถาปนากรุงรัตน โกสินทร์เป็นราชธานีเป็นต้นมา และแม้ถึงวันนี้การกระทำนั้นก็ยังเกิดขึ้นอย่างกว้างขวาง โดยผู้มีอำนาจใหม่ไม่จัดการถอนรากถอนโคน ปล่อยให้เชื้อไฟไหม้ลามอยู่ต่อไป

            ประการที่สอง การคอร์รัปชั่นที่ในขณะนั้นถูกขนานนามว่าโคตรโกง และโกงกันทั้งโคตร นั่นคือเป็นการคอร์รัปชั่นโกงบ้าน ผลาญเมือง โกงชาติ โกงประชาชน จำนวนมหาศาลยิ่งกว่าระยะใดในประวัติศาสตร์ของประเทศไทย จึงได้ชื่อว่าโคตรโกง และเพราะเอาวงศาคณาญาติ เพื่อนพ้องเข้ามาร่วมโกง จึงได้ชื่อว่าโกงทั้งโคตร

            กลายเป็นแบบอย่างของการโกงชาติ โกงประชาชน รูปแบบใหม่ ลักษณะใหม่ และขั้นใหม่ แล้วเป็นแบบอย่างให้มีการต่อยอดการโกงชาติ โกงแผ่นดิน ตกทอดมาถึงปัจจุบันนี้ด้วย

            ประการที่สาม มีการทำให้เกิดความแตกแยกแตกสามัคคีภายในชาติอย่างรุนแรง แบ่งแยกข้าราชการออกจากความเป็นข้าราชการในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว แบ่งแยกทหารออกเป็นพวกเป็นเหล่า แบ่งแยกประชาชนเป็นผู้สนับสนุนและพวกปรปักษ์ ถึงขนาดประกาศท้าทายว่าพื้นที่ใดไม่สนับสนุนทางการเมืองก็จะไม่มีการสนับ สนุนงบประมาณ และเพื่อทำให้ผิดกลายเป็นชอบในสายตาของประชาชน จึงเข้าครอบงำแทรกแซงสื่อ ปิดหูปิดตาประชาชนอย่างกว้างขวาง

            ประการที่สี่ มีการแทรกแซงองค์กรอิสระจนบ้าใบ้เดี้ยงไปหมดทุกองค์กร องค์กรเกี่ยวกับการเลือกตั้งก็บังเกิดพวกสามหนาห้าห่วง องค์กรปราบปรามการทุจริตก็กลายเป็นองค์กรป้องกันการทุจริตแห่งชาติ ไม่ให้ใครแตะต้องได้ ศาลรัฐธรรมนูญก็กลายเป็นศาลเตี้ยที่ทำตามคำสั่งทางการเมือง แม้วงราชการที่มีหน้าที่ตรวจสอบก็ถูกกำจัดคนดีออกไป เอาคนชั่วเข้ามานั่งแท่นเพื่อปกป้องคุ้มครองทุกการกระทำไม่ให้ถูกตรวจสอบ

            เป็นเหตุให้ประชาชนลุกฮือขึ้นขับไล่ระบอบโกงทั้งโคตรนี้ จนกระทั่งต้องยุบสภาและเลือกตั้งใหม่ แต่ก็โกงการเลือกตั้งจนต้องเลือกตั้งกันใหม่อีก เพื่อจะได้กลับมามีอำนาจโกงบ้านโกงเมืองกันใหม่

           
ในขณะนั้นพวกขบวนการที่จัดงาน 19 กันยา รำลึก ยังไม่ได้ผุดได้เกิดการเคลื่อนไหวใด ๆ เพราะยังไม่เกิดวิธีทำงานแบบผีโม่แป้งที่เชื่อมโยงมาถึงขบวนการเหล่านี้ 
            ในขณะที่ประชาชนลุกฮือขึ้นขับไล่อำนาจรัฐอธรรมตามสิทธิ์อันพึงมีในระบอบ ประชาธิปไตย กลับได้รับการปฏิบัติอย่างเผด็จการต่อประชาชน แต่เป็นเผด็จการในลักษณะโจราธิปไตย

            เพราะมีการใช้ความรุนแรงกับประชาชนทุกรูปแบบ ไม่ว่าการขว้างระเบิดเข้าใส่ การไล่ทุบตีทำร้าย การจัดมวลชนมาปะทะ และการใส่ร้ายป้ายสีทางสื่อ กระทั่งการคุกคามต่อสิทธิเสรีภาพและความปลอดภัย ซึ่งแม้เผด็จการทั่วไปก็ไม่ทำในสิ่งเหล่านี้

            การกระทำทั้งหลายทั้งปวงที่ก่อตัวขึ้นเป็นระบอบการปกครองอันสามานย์ที่ ประชาชนไม่ต้องการ แต่ไม่ยอมละวาง ไม่ยอมสร้างความถูกต้องให้เกิดขึ้น แผ่นดินจึงเดือดรุ่มร้อนไปทั่วทั้งประเทศ แม้พระสงฆ์องค์เจ้าและสมณะชีพราหมณ์ทั้งปวงก็เดือดร้อนทุกหย่อมหญ้า

           
เสียงของประชาชนที่แต่ไหนแต่ไรมาไม่ปรารถนาการปฏิวัติรัฐประหารได้กลายเป็น เสียงร่ำร้องเรียกหาให้คณะทหารเข้ามาจัดการกับความผิดทำนองคลองธรรม จนเสียงก้องกระหึ่มไปทั้งแผ่นดิน 
            ดังนั้นในขณะที่ภาคประชาชนผู้รักชาติ ศาสน์ กษัตริย์ กำลังนัดหมายชุมนุมใหญ่ในวันที่ 21 กันยายน จึงมีคนคิดทำรัฐประหารเพื่อกวาดล้างประชาชนที่ตื่นตัวทวงคืนแผ่นดิน และเพื่อดำรงระบอบการปกครองที่สามานย์ให้สืบทอดต่อไปในเชิงสันตติวงศ์แข่ง กับสถาบันพระมหากษัตริย์

            มีการเตรียมแผนการจัดมวลชนเข้าปะทะกันจนถึงขั้นเลือดนองกรุงเทพฯ และจะฉวยสถานการณ์นั้นทำการรัฐประหารยึดอำนาจ

            มีการตั้งกองบัญชาการยึดอำนาจไว้ที่หน่วยงานหนึ่งซึ่งต่อมาก็พยายามปรับ เปลี่ยนเป็นหน่วยงานต่อต้านรัฐประหาร แต่ถูกจัดการเสียก่อน

            แผนการรัฐประหารรั่วไหลจนเป็นที่รู้กันทั่วไปในช่วงนั้นว่าในวันที่ 20 กันยายน เวลาเช้าตรู่ จะมีนักการเมืองคนสำคัญแอบเดินทางกลับเข้าประเทศ และพวกพ้องในกองทัพก็จะจัดการยึดอำนาจ กวาดล้างมวลมหาประชาชน และสังหารนายสนธิ ลิ้มทองกุลเสีย แล้วตั้งตนขึ้นเป็นใหญ่ในแผ่นดิน

            เมื่อข่าวรั่วไหลออกมาเช่นนี้ ขบวนการต่อสู้เพื่อโค่นล้มระบอบสามานย์จึงได้ปรับเปลี่ยนวันเวลานัดชุมนุม ใหญ่เป็นวันที่ 20 กันยายน แทนที่จะเป็นวันที่ 21 กันยายน

            เมื่อเหตุการณ์เขม็งเกลียวเช่นนี้ คณะทหารที่หวังดีต่อประเทศชาติและไม่ปรารถนาเห็นคนไทยฆ่ากันเองเช่นนั้น จึงตัดสินใจเข้ายึดอำนาจ โดยการตัดสินใจเด็ดขาดเกิดขึ้นในเวลาประมาณช่วงเช้าของวันที่ 19 กันยายน 2549

           
เป็นการยึดอำนาจที่ขาดการเตรียมตัวอย่าง ยิ่ง และไม่มีความพร้อมอย่างยิ่ง ดังนั้นจึงเป็นการรัฐประหารที่มีราคาแพงและได้ผลไม่คุ้มค่า จนทำให้ปัญหาคาราคาซัง กระทั่งเหตุปัจจัยทั้งหลายที่เป็นเหตุรัฐประหารครั้งนั้นก็ยังคงดำรงอยู่ อย่างครบถ้วนแม้ในวันนี้.

วันพุธที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2554

แนวโน้มสังคมการเมืองไทยหลังการเลือกตั้ง

แนวโน้มสังคมการเมืองไทยหลังการเลือกตั้ง


สุริยันต์ ทองหนูเอียด



ในที่สุดการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร(ส.ส.) ในวันที่ 3 กรกฎาคม 2554 ก็เป็นไปตามปกติวิถีของการปกครองในระบอบประชาธิปไตย มิได้มีอุปสรรคใดๆ มาขัดขวางตามที่หลายฝ่ายคาดการณ์


เนื้อหาสถานการณ์โดยภาพรวมของการเลือกตั้งในครั้งนี้ ได้มีความพยายามของหลายฝ่ายสร้างนิยามความหมายของการเลือกตั้ง เพื่อให้คนโดยทั่วไปเชื่อได้ว่า เมื่อมีการเลือกตั้งแล้ว ถือว่าประเทศนี้เป็นประชาธิปไตย แต่ไม่ได้มีผู้ใด ทำให้ชัดเจนได้ว่า การเลือกตั้งนั้น ไม่ได้หมายว่า เมื่อมีการเลือกตั้งแล้ว ถือว่าประเทศนี้ปกครองโดยระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขอย่างแท้จริง


ขณะเดียวกันหลายฝ่ายได้มีการนำเสนอที่ทำให้เข้าใจว่า หรือเชื่อว่าการเลือกตั้งครั้งนี้จะเป็นการกำหนดชะตากรรมอนาคตของประเทศและเป็นคำตอบของการแก้วิกฤติความขัดแย้งของประเทศอีกด้วย


น่าเสียดายที่โพลล์ของสำนักต่างๆ ไม่ได้สำรวจความเห็นของคนไทยว่า อยากได้อะไรจากการเลือกตั้งหรือการเลือกตั้งจะทำให้ประเทศสงบหรือไม่ หรือการเลือกตั้งทำให้ประเทศมีปัญหา ปัญหาอะไร


เพราะจากความหมายการเลือกตั้งทำนองดังกล่าวจากฝ่ายการเมือง และส่วนต่างๆ ทางสังคมในครั้งนี้ ได้ทำให้สาระหรือรูปแบบของการปกครองในระบอบประชาธิปไตยที่แท้จริงถูกบิดเบือน จนไม่สามารถทำให้ประชาชนเข้าใจอุการณ์ เนื้อหาสาระและรูปแบบการปกครองที่เป็นประชาธิปไตยที่แท้จริง


ทั้งๆ ที่ ในความเป็นจริงแล้ว การเลือกตั้ง สส. ในหลายๆ ครั้งที่ผ่านมา ก็คือบทสะท้อนของระบบเผด็จการโดยกลุ่มบุคคลที่มีอำนาจ หรือทุนสามานย์ผู้มีฐานะทางเศรษฐกิจที่เข้ายึดอำนาจบริหารประเทศไว้โดยผ่านการเลือกตั้ง ด้วยใช้เงินเพียงไม่กี่หมื่นล้านบาทก็สามารถสัมปทานอำนาจปกครองประเทศได้


เช่นนี้แล้ว การเลือกตั้งที่ผ่านมา จึงเป็นเพียงการประเมินผ่านการลงคะแนนเสียงว่า ประเทศจะถูกปกครองโดยระบบเผด็จการแบบไหน เผด็จการโดยใคร และมีความเป็นเผด็จการเข้มข้นมากน้อยแค่ไหน


ยิ่งสถานการณ์ที่ดำรงอยู่ในปัจจุบันด้วยแล้ว วิธีการจึงไม่ใช่เรื่องสลักสำคัญ เพราะนักการเมืองคิดแค่ว่าชัยชนะของการเลือกตั้ง คือการได้ซึ่งทั้งหมด ทั้งอำนาจผลประโยชน์ และความถูกต้องชอบธรรม


เขาเชื่อว่า ชัยชนะจะเป็นตัวกำหนดทุกอย่างและเปลี่ยนแปลงทุกอย่างดัวยตัวของมันเอง ชัยชนะนี้ แท้ที่จริงก็เป็นเพียงชัยชนะของกลุ่มบุคคลเท่านั้น ไม่ใช่ชัยชนะของประชาชน หรือ ชัยชนะของประเทศ


ดังนั้น การหาเสียงเลือกตั้งของพรรคการเมืองต่างๆ ในครั้ง จึงเป็นการแข่งขันเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจการปกครองในทุกรูปแบบ โดยเฉพาะการใช้นโยบายประชานิยมที่ไม่ใช่ระบบรัฐสวัสดิการที่แท้จริง หาเสียงแบบลดแลกแจกเพื่อหวังคะแนน ด้วยการโฆษณาเอาเงินอนาคตของประเทศมาซื้อเสียงในปัจจุบัน ล่อลวงการลงเสียงของประชาชน เพื่อหวังคะแนนเสียงจากประชาชนแทนการแจกเงินแบบเดิมๆ


การกระทำดังกล่าว สะท้อนให้เห็นถึงการรวบอำนาจผ่านระบบเลือกตั้งของระบบอำนาจนิยม คือ เมื่อได้อำนาจบริหารประเทศแล้ว ก็ยึดอำนาจการจัดการประเทศไว้ที่ตนเพียงกลุ่มเดียว โดยไม่คำนึงถึงการมีส่วนร่วมของประชาชนในการบริหารประเทศ เพราะเขาถือเอาว่าได้จ่ายประชาชนล่วงหน้าไปแล้ว


ประการสำคัญ เมื่อพิจารณานโยบายหาเสียงของทุกพรรคแล้วพบว่าไม่มีพรรคไหนเสนอนโยบายเพื่อการปฏิรูปประเทศที่มุ่งเน้นลดความเหลื่อมล้ำทางโครงสร้าง แก้ปัญหาความไม่เป็นธรรมทางสังคม


หรือแม้แต่นโยบายการพัฒนาประเทศ แต่ละพรรคก็ไม่ได้แสดงให้เห็นว่า เงินที่จะใช้ในนโยบายต่างๆ ของทุกพรรค ซึ่งรวมกันเกือบสี่แสนล้านบาทเป็นเงินมาจากไหนที่จะมานำใช้ในการดำเนินการ และนโยบายต่างๆ ของแต่ละพรรค ก็ไม่ได้ตอบโจทย์ในการพัฒนาศักยภาพของทรัพยากรคนในประเทศ


ทั้งหมดของการเลือกตั้ง นโยบายการหาเสียงและรูปแบบการเลือกตั้ง จึงเป็นเพียงการใช้เงิน เพื่อสร้างแรงจูงใจต่อประชาชน เพื่อหวังให้เลือกตนและพรรคของตนเท่านั้น ไม่ใช่เลือกเพื่ออนาคตประเทศ


จากนี้ต่อไปสถานการณ์ประเทศหลังเลือกตั้ง ยังคงไม่สงบเหมือนเดิม พรรคการเมืองพรรคหนึ่งประกาศไปแล้ว หากเขาได้เสียงข้างมากแล้วไม่ได้จัดตั้งรัฐบาล ก็จะนำมวลชนออกมาเคลื่อนไหวแน่นอน


คาดว่าในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร เพื่อเลือกตั้งนายกนายกรัฐมนตรี ก็จะมีการล้อมรัฐสภา เพื่อผลักดันให้พรรคที่ตนสนับสนุนได้เป็นรัฐบาล หากไม่ได้เป็น สงสัยบ้านเมืองจะต้องลุกไปไฟอีกครั้ง


คำตอบที่ว่า ทุกเรื่องจะจบลงที่สภาตามที่นักการเมืองคิด คำตอบคงไม่เป็นเช่นนั้นอย่างแน่นอน


ทั้งๆ ที่ นักการเมืองที่มีอยู่ในปัจจุบัน กว่า 50 % ผ่านทั้งเหตุการณ์ 14 คุลาคม 2516, 6 ตุลาคม 2519, พฤษภาคม 2535 และบางคนก็มีส่วนกับเหตุการณ์เดือนพฤษภาคม 2553 แต่ไม่มีใครสรุปบทเรียน


พวกเขา เหล่านี้ ยังคงยึดเอาอารมณ์ความรู้สึกความต้องการของตัวเองเป็นตัวตั้งมากกว่าอนาคตของประเทศ ดังนั้น ไม่ว่าผลการเลือกตั้งจะออกมาอย่างไร ก็มีแนวโน้มว่าความรุนแรงจะเกิดขึ้นแน่นอน


สถานการณ์เช่นนี้ ประชาชนจึงต้องแสดงออกถึงความเป็นเจ้าของประเทศ ก็จะลุกขึ้นมาจัดการกับปัญหาความไม่สงบที่เกิดขึ้น ด้วยการทำหน้าที่ปกป้องภัยของแผ่นดิน ไม่ปล่อยให้กลุ่มการเมืองใดทำลายชาติได้ตามอำเภอใจ พร้อมตรวจสอบการทำงานของนักการเมืองอย่างเข้มข้นและเป็นรูปธรรม


สิ่งที่จะต้องเปลี่ยนแปลงอย่างแท้จริง คือ ประชาชนทุกคนหรือคนส่วนใหญ่ที่มีองค์ความรู้จะต้องร่วมกันตรวจสอบนักการเมืองอย่างเป็นระบบ เพื่อขจัดนักการเมืองที่ทำลายชาติออกไปจากการเมืองไทย


ถึงเวลาแล้วทุกคนต้องร่วมกันรับผิดชอบประเทศ นำพาบ้านเมืองไปสู่ความสงบสุขโดยเร็ว



----------------------------------------------



หมายเหตุตีพิมพ์ครั้งแรกในหนังสือพิมพ์แทบลอยด์ไทยโพสต์


คอลัมน์ "ชานชาลาประชาชน" ฉบับวันที่ 3-8 กรกฎาคม 2554
ขอขอบคุณภาพจาก rsunews.net

ข้อมูลจาก http://www.oknation.net/blog/mataharee/2011/07/03/entry-1

เรียนรัฐศาสตร์ สู่การเป็นนักปกครองที่ดี

           รัฐศาสตร์ (political science) เป็นศาสตร์ที่มีมีขอบเขตกว้าง ศึกษาเกี่ยวกับเรื่องราวและ สถาบันที่เป็นสาธารณะ การศึกษารัฐศาสตร์มีลักษณะเป็นการศึกษาในลักษณะของสหวิทยาการ อาศัยองค์ความรู้ในศาสตร์สาขาอี่นมาช่วยในการอธิบายหรือประกอบในการศึกษา ปรากฏการณ์ทางการเมืองต่างๆที่เกิดขึ้น ความรู้พื้นฐานในรัฐศาสตร์

ภาพ Welcome to the Department of Political Science at UM-Flint.
ที่มา
www.umflint.edu/polsci

           ในเบื้องต้นนักศึกษาจะต้องมีความรู้ในเรื่องของ การบริหารรัฐกิจเบื้องต้น, การเมืองการปกครองไทย, ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศเบื้องต้น, การปกครองเปรียบเทียบ และหลักและวิธีการวิจัยทางรัฐศาสตร์ สาขาวิชาที่สำคัญของรัฐศาสตร์ ในการศึกษารัฐศาสตร์สามารถแบ่งเป็นสาขาได้ดังนี้
1. ปรัชญาการเมือง (Political Philosophy)
           ปรัชญาทางการเมือง อันหมายถึง หลักจริยธรรมซึ่งถือเป็นแนวทางในการกำหนดนโยบายของสังคม อันเป็นเสมือนหลักการแห่งเหตุผล หรืออธิบายในแง่หนึ่งได้ว่าเป็นเหมือนราดฐานของระบบการเมือง ซึ่งแต่ละรูปแบบระบบการเมืองก็จะมีปรัชญาการเมืองเป็นเบื้องหลังแตกต่างกันไปควบคู่ไปกับอุดมการณ์ทางการเมือง (Political Ideology) ซึ่งเป็นเสมือนเป้าหมายทางการเมืองที่เป็นพลังผลักดันให้มนุษย์มีพฤติกรรม หรือปฏิบัติการอย่างหนึ่งอย่างใดเพื่อให้เป็นไปตามเป้าหมายนั้น (ทินพันธ์ นาคะตะ 2541, 19)


ภาพ Comparative Politics
ที่มา web.olivet.edu

2. การเมืองการปกครอง (Government)   
            เป็นศาสตร์ที่ว่าด้วยรัฐอย่างชัดเจน เน้นศึกษาในเรื่องของ ศาสตร์ที่ว่าด้วยรัฐ อย่างชัดเจน การปกครอง ความคิดทาการเมือง ระบบการเมือง ระบบการปกครอง ปรัชญาการเมือง รัฐธรรมนูญ และอื่นๆ เพื่อให้ผู้เรียนสามารถการบูรณาการความรู้ที่เรียนมาในการอธิบายปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นใน สังคม
 ตัวอย่าวิชาที่เรียน เช่น  ทฤษฎีและจริยธรรมทางการเมือง, หลักรัฐธรรมนูญและสถาบันการเมือง, พรรคการเมืองและกลุ่มผลประโยชน์, กระบวนการฝ่ายนิติบัญญัติ, การปกครองส่วนภูมิภาค, การเมืองในสหรัฐอเมริกา   อังกฤษ  ฝรั่งเศส , การเมืองและการจัดที่ดิน, ระบบรัฐสภาเปรียบเทียบ, กระบวนการยุติธรรมการตำรวจ, การวิเคราะห์ระบบการเมือง เป็นต้น

3. การเมืองเปรียบเทียบ (Comparative Politics)                                                                                        
            นี่คือสาขาหนึ่งที่เก่าแก่มาก เป็นสาขาในยุคบุกเบิก ตั้งแต่สมัยของอริสโตเติ้ลเลยทีเดียว ในสาขานี้จะเป็นการศึกษารัฐบาลเปรียบเทียบ โดยศึกษาระบบรัฐบาลและการเมืองการปกครองของแต่ละประเทศ


ภาพ Comparative Politics
ที่มา polisci.acadiau.ca

4. กฎหมายมหาชน (Public Law)
           ทำความเข้าใจในรากฐานของรัฐรวมทั้งปัญหาของการแบ่งแยกอำนาจ ศึกษาและวิเคราะห์ความสัมพันธ์ของกฎหมายทั่วไปกับกฎหมายสูงสุดของรัฐ รวมทั้งการพิจารณาถึงอำนาจหน้าที่ของระบบศาลยุติธรรมและความสัมพันธ์ระหว่างจารีตประเพณีกับกฎหมาย

5. ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ (International Relations)      
           พิจารณาเกี่ยวกับเรื่องราวที่เกิดขึ้นในระบบระหว่างประเทศ  จะศึกษาจากทฤษฎีความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ พัฒนาการของระบบระหว่างประเทศ นโยบายต่างประเทศ ความมั่นคง นโยบาย หลักการและวิธีการในความสัมพันธ์ระหว่างรัฐ เน้นศึกษาประเทศๆในแต่ละภูมิภาคไป เช่น เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เอเชียใต้ เอเชียตะวันออก อเมริกา ยุโรป และยุโรปตะวันออก


ภาพ Department of International Relations
ที่มา
www.bucknell.edu

           ตัวอย่างวิชาที่เรียน เช่น  การเมืองระหว่างประเทศ, เศรษฐกิจการเมืองระหว่างประเทศ, องค์การระหว่างประเทศ, นโยบายต่างประเทศของไทย, การทูต, กระบวนการกำหนดนโยบายต่างประเทศ, ทฤษฎีความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ, นโยบายต่างประเทศเปรียบเทียบ, เหตุการณ์ปัจจุบันระหว่างประเทศ, ประเด็นศึกษาในความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ

6. สาขาวิชาบริหารรัฐกิจ หรือ รัฐประศาสนศาสตร์(วิชาที่ว่าด้วยการบริหารรัฐ) (Public Administration)
           สาขาวิชานี้นับได้ว่าเป็นสาขาหรือแขนงใหม่ของวิชารัฐศาสตร์ เรียนเกี่ยวกับการบริหารกิจการต่างๆอันเป็นของรัฐ หรือการบริหารงานภาครัฐ โดยมุ่งเน้นในเรื่องความถูกต้องและเป็นประโยชน์ต่อสาธารณะ ยึดหลักประสิทธิภาพในการบริหาร ความเสมอภาคและเป็นธรรมในสังคม ความสัมพันธ์ระหว่างการเมือง นโยบาย และการบริหาร มนุษย์สัมพันธ์ ภาวะผู้นำ องค์การสาธารณะ ระบบราชการ ทฤษฎีองค์การ นั้นคือ ให้ประชาชนอยู่ดีกินดีนั้นเอง


ภาพ Books for Public Administration
ที่มา blogs.ntu.edu.sg

           ตัวอย่างวิชาที่เรียน เช่น องค์การและการบริหารในภาครัฐ , การบริหารทรัพยากรมนุษย์ในภาครัฐ,  การบริหารการคลัง, การกำหนดและวิเคราะห์นโยบายสาธารณะ, การบริหารงานคลังส่วนท้องถิ่น, การวางแผนทรัพยากรมนุษย์ในภาครัฐ , ปัญหาในการบริหารรัฐกิจ, การเมืองและระบบราชการ, พฤติกรรมองค์การ ,  การวางแผนในภาครัฐ  เป็นต้น

อาชีพสำหรับผู้จบรัฐศาสตร์

           เจ้าหน้าที่ ตามหน่วยงานของรัฐ บริษัทเอกชน และรัฐวิสาหกิจ เช่น งานด้านกำหนดนโยบายและแผน จัดการบริหารองค์กร บริหารแรงงาน บริหารการคลังและงบประมาณ งานด้านการปกครอง เจ้าหน้าที่
           ตัวแทนรัฐบาลไทยในต่างประเทศและองค์กรระหว่างประเทศ ผู้นำทางการเมืองหรือองค์กรทางการเมือง รวมทั้งงานในสาขาสื่อมวลชนในสายการเมือง

ข้อมูลอ้างอิง
           วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี ว่าด้วยวิชารัฐศาสตร์ โดย fofeve (จิดาภา ละมัย)
           คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง
           คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
           คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี

ข้อมูลจาก http://www.vcharkarn.com/varticle/40309